ถอดรหัส “ไปรษณีย์ไทย” สลัดภาพจำเดิมสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในยุคที่สมรภูมิโลจิสติกส์ที่เรียกได้ว่า “สงครามส่งด่วน” ของแท้ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาและความเร็ว ตลอดระยะเวลา 142 ปี หลังจากที่ “จดหมาย” คือจุดเริ่มต้นของ “ไปรษณีย์ไทย” แต่วันนี้องค์กรขนาดยักษ์ที่เคยพึ่งพาซองและแสตมป์ ได้กลายมาเป็นเครือข่ายโลหิตขนาดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทย ด้วยรายได้รวมครึ่งปีแรก 2568 กว่า 11,544 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 631 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 4 เท่าหรือ 362.34% เหล่านี้เป็นผลลัพธ์ของยุทธศาสตร์ที่ถูกคิดและวางรากฐาน เพื่อพลิกโฉมองค์กรให้กลายเป็นผู้เล่นที่ว่องไวและปรับตัวในยุคดิจิทัล

 

“จดหมาย” ไม่ใช่ศูนย์กลางส่งด่วนอีกต่อไป

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของไปรษณีย์ไทยคือการยอมรับความจริงที่ว่า ธุรกิจดั้งเดิมที่หล่อเลี้ยงองค์กรมานานกว่าศตวรรษอย่าง “จดหมาย” กำลังถูกลดทอนความสำคัญลงด้วยเทคโนโลยีสื่อสารผ่ายข้อมูลดิจิทัล การยึดติดกับรูปแบบเดิมองค์กรมีแต่จะถดถอยลง

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ให้มุมมองในเรื่องนี้ว่า “ภารกิจของไปรษณีย์ไทยไม่ใช่แค่การส่งของ แต่เป็นการส่งข้อมูล ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะอยู่ในรูปแบบกายภาพหรือดิจิทัลก็ตาม แนวคิดนี้คือการปรับโฉมธุรกิจครั้งใหญ่ จากการเป็น Logistics Company สู่การเป็น Information Logistics Company ซึ่งหมายความว่า แม้จดหมายจะกลายเป็นอีเมล์ แต่หน้าที่ในการส่งผ่านข้อมูลยังคงอยู่และไปรษณีย์ไทยต้องปรับตัวเพื่อเข้าไปอยู่ในกระบวนการนั้นให้ได้”

และในยุคดิจิทัลที่การส่งข้อมูลหรือการสื่อสารต้องการความรวดเร็ว ความถูกต้องและการเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของไปรษณีย์ไทยต้องออกแบบประสบการณ์ของผู้บริโภคใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่ผู้บริโภคสัมผัสกับองค์กรผ่านเคาน์เตอร์บริการ (Physical Touchpoint) มาวันนี้ต้องสร้างการเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อระหว่างโลกออฟไลน์และออนไลน์ (Seamless Omni-channel Experience) เข้าไว้ด้วยกัน

 

เจาะ 3 กลยุทธ์ “1-4-2” สู่การขับเคลื่อนองค์กร

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์องค์กรสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์อย่างเป็นรูปธรรม ไปรษณีย์ไทยได้วางกลยุทธ์หลักที่เรียกว่า “1-4-2” ล้อไปกับอายุขององค์กร 142 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก สำหรับกลยุทธ์แรก

1 สู่การเป็นขนส่งอันดับหนึ่งในใจคนไทย โดยเป้าหมายนี้ไม่ได้วัดกันที่ปริมาณการจัดส่ง แต่คือ “ความเชื่อมั่น” (Trust) โดยไปรษณีย์ไทยตระหนักดีว่า จุดแข็งที่คู่แข่งเอกชนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ คือเครือข่ายที่หยั่งรากลึกและความสัมพันธ์กับคนไทยมายาวนาน แต่ความเชื่อมั่นในยุคนี้ต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย “คุณภาพ” ที่จับต้องได้

ไปรษณีย์ไทยจึงทุ่มทรัพยากรไปกับการยกระดับบริการหลังการขายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยนโยบายที่เรียกว่า “Pain, Claim, Complain” คือเมื่อเกิดปัญหาต้องแก้ไขให้รวดเร็วจนลูกค้ารู้สึกว่าปัญหาไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งนี้สะท้อนผ่านการเพิ่มจำนวนบุคลากรฝ่ายดูแลลูกค้า (After-Sales Service) ขึ้นถึง 4 เท่า รวมกว่า 1,500 คนทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกปัญหาจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด การกระทำที่ชัดเจนนี้ส่งผลให้ระดับความไว้วางใจในแบรนด์พุ่งสูงขึ้นกว่า 90%

4 พลังขับเคลื่อนธุรกิจหลักสู่ความสำเร็จ

สำหรับกลยุทธ์ต่อมาจะเน้นไปที่การสร้างความแข็งแกรงทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น พลังความเร็ว (Post Express) ด้วยบริการ EMS ยังคงเป็นหัวใจหลักที่สร้างรายได้ถึง 43.31% ของรายได้รวม แต่แทนที่จะแข่งขันด้วยการตัดราคา ไปรษณีย์ไทยเลือกที่จะยกระดับคุณภาพ โดยตั้งเป้าหมายที่ท้าทายกว่า SLA (Service Level Agreement) ทั่วไป นั่นคือการเพิ่มสัดส่วนพัสดุที่สามารถจัดส่งได้ภายใน 24 ชั่วโมงทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วถึง 79%

พลังเพื่อธุรกิจ (Post Solution) โดยไปรษณีย์ไทยมองเห็นว่า การพึ่งพิงตลาด e-Commerce เพียงอย่างเดียวมีความเสี่ยง เพราะแพลตฟอร์มรายใหญ่ต่างมีระบบขนส่งของตัวเอง กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดคือการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาสินค้าชุมชนและวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไปจนถึงการหาช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มอย่าง ThailandPostMart เมื่อสินค้าชุมชนขายดีขึ้น ปริมาณการจัดส่งก็จะไหลกลับเข้ามาในเครือข่ายของไปรษณีย์ไทยโดยอัตโนมัติ รวมถึงการสร้างความมั่นคงทางรายได้ที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาบริการคลังสินค้าครบวงจร (THP Fulfillment) และ Specialized Logistics เช่น การขนส่งยาและเวชภัณฑ์ (Health Care Solution), การขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ, การขนส่งสำหรับสัตว์เลี้ยง และของมูลค่าสูง

ด้าน พลังเชื่อมโลก (Post World) บทบาทของไปรษณีย์ไทยในเวทีโลกไม่ใช่แค่การส่งของจากไทยไปต่างประเทศ แต่คือการเป็น “สะพาน” ให้ผู้ประกอบการ SME ไทยสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ ผ่านความร่วมมือกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Amazon และ eBay โดยทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและจัดการพิธีการศุลกากร เพื่อส่งเข้าคลังสินค้าในต่างประเทศ ช่วยลดความยุ่งยากและเปิดโอกาสให้สินค้าไทยไปไกลกว่าเดิม

และ พลังความล้ำ (Post Tech) ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ไม่ใช่แค่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Super App ที่รวมทุกบริการไว้ในที่เดียว, ระบบจ่าหน้าดิจิทัล (D/ID) ที่ใช้เพียงรหัส 6 หลัก, หรือการใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและบริหารจัดการเที่ยวรถ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้เกือบร้อยล้านบาทในปีเดียว

2 บทบาทหลักที่มีต่อสังคมไทย

ไปรษณีย์ไทยวางตำแหน่งธุรกิจของตัวเองเป็น 2 แกนหลัก คือการเป็นผู้เชื่อม “ความสัมพันธ์” (Community Ship) และผู้ที่นำทางไปสู่ “ความสำเร็จ” (Navigator) บทบาทนี้ตอกย้ำภารกิจที่นอกเหนือไปจากธุรกิจ คือการเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศที่ต้องดูแลสังคมและชุมชนให้เติบโตไปพร้อมกัน

ไม่เพียงเท่านี้ ไปรษณีย์ไทย ยังตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นธุรกิจด้าน ESG ภายใต้แนวคิด “ESG+E” ในขณะที่องค์กรส่วนใหญ่มุ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social), และธรรมาภิบาล (Governance) ไปรษณีย์ไทยได้เพิ่มมิติของ เศรษฐกิจ (Economy) เข้าไปด้วย แนวคิดนี้มองว่าทุกโครงการด้านความยั่งยืนจะต้องสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกลับมาสู่องค์กรได้ เพื่อให้การพัฒนาเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและไม่เป็นภาระ

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ การนำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในระบบขนส่ง หรือการเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานไปใช้ผ้าที่ผลิตด้วยกรรมวิธีลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มหาศาล (เทียบเท่าการเดินทางรอบโลก 5 รอบ) ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อแบรนด์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ส่งผลดีต่อผลประกอบการ

 

ภาพไปรษณีย์ไทยใหม่ที่จะถูกจดจำ

หากมองย้อนกลับไปจะพบไปรษณีย์ไทยเป็นธุรกิจที่มีมาอย่างยาวนาน การปรับตัวและเติบโตในยุคดิจิทัลอาจทำได้ยาก แต่ด้วยวิสัยทัศน์และการปรับตัวทำให้ไปรษณีย์ไทยกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือการปรับตัวเชิงโครงสร้างโลจิสติกส์ที่ยังคงต้อง “เป๊ะ” แต่ก็ “ยืดหยุ่น” เพื่อรองรับการขนส่งที่หลากหลาย ตั้งแต่ผลไม้สด ไปจนถึงสินค้ามูลค่าสูง รวมถึงการส่งยาที่ต้องควบคุมอุณหภูมิได้

ที่สำคัญไปรษณีย์ไทยไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ “คนส่งของ” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “แพลตฟอร์มค้าปลีกเพื่อชุมชน” ผ่านโครงการอย่าง ThailandPostMart ซึ่งครึ่งปีแรก 2568 ทำรายได้กว่า 360 ล้านบาท อีกทั้งช่องทางออนไลน์ปัจจุบันบีบให้ผู้ประกอบการต้องออกมาทำด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการ LIVE ไปรษณีย์ไทยจึงกลายเป็นผู้สนับสนุนผู้ประกอบการและชุมชน ไม่ใช่แค่ขนส่งสินค้า แต่ช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ดีไซน์ และสร้างช่องทางขายใหม่ เพื่อให้เครือข่ายโลจิสติกส์ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม e-commerce เพียงอย่างเดียว

ที่ขาดไม่ได้คือการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสะดวกมากยิ่งขึ้นทั้ง Super App รวมบริการส่งพัสดุ ชำระเงิน ติดตามสินค้า, D/ID ระบบจ่าหน้าอัจฉริยะ ลดปัญหาข้อมูลผิดพลาด, Digital Postbox จดหมายอิเล็กทรอนิกส์, AI & Data Analytics ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ยิ่งตอกย้ำภาพของไปรษณัย์ไทยสู่การเป็น Information Logistics Company

ดร.ดนันท์ ยังทิ้งท้ายว่า ไปรษณีย์ไทยในวันนี้ ไม่ได้แข่งขันด้วยสงครามราคา แต่แข่งขันด้วย “ความเชื่อมั่น” และ “โซลูชันที่หลากหลาย” ที่ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้จัดส่งพัสดุ แต่มองเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” ที่ช่วยให้คนไทยและธุรกิจไทยเติบโตไปพร้อมกัน ทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ ก้าวต่อไปในอนาคตของไปรษณีย์ไทย จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง สำหรับการทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งประวัติศาสตร์ ที่ไม่ใช่แค่การอยู่รอด แต่คือการกลับมาอย่างยั่งยืน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา