#SeaYouTomorrow โครงการสร้างสำนึกดี เพื่อวันพรุ่งนี้ของท้องทะเลไทย

  • 775
  •  
  •  
  •  
  •  

ลองนึกเล่นๆ สิว่า ถ้าคุณทำขยะพลาสติกสักชิ้นหลุดมือไป พลาสติกนั้นจะไปอยู่ที่ไหน…

ถ้าเราจะบอกคุณว่า มันไปติดอยู่กับกิ่งปะการัง กลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเล ที่ไม่มีทางรู้จักว่าพลาสติกคืออะไร หรือไปอยู่ในท้องของปลาวาฬขนาดใหญ่ ไม่ย่อย และทำให้ปลาวาฬนั้นตายในที่สุด คุณจะรู้สึกอย่างไร

เราเชื่อว่าคนไทยมีจิตสำนึกดี แค่บางทีคุณอาจจะไม่ได้ตั้งใจทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง คุณคงลืมคิดไปว่าขยะที่หลุดมือไปทุกชิ้นไม่ได้ปลิวไปตกในที่ที่เหมาะสม แต่มันมีโอกาสปลิว หรือไหลลงไปยังแหล่งน้ำอย่างเช่นในทะเลได้

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยทุกวันนี้ ติดอันดับ 6 ของประเทศที่มีปริมาณขยะในทะเลมากที่สุดในโลก แม้เราจะมีระบบการจัดเก็บขยะในแต่ละท้องที่ แต่ก็ยังมีขยะมากถึง 30,000 – 50,000 ตันต่อปีที่ไหลลงสู่ทะเล ซึ่งนั่นก็คือ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณขยะพลาสติกทั้งหมด ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการใช้และทิ้งขยะของเราเสียใหม่ โดยใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้มากกว่าเดิม

เนื่องในวันทะเลโลก หรือ World Oceans Day ในปีนี้ทั่วทั้งโลกกำลังให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องขยะทะเล
เป็นอย่างมากซึ่งทางสิงห์ เอสเตท ก็ได้เห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้เช่นกัน จึงได้เปิดตัวแคมเปญ #SeaYouTomorrow พร้อมหนังสั้น “เสียงของทะเล” ขึ้น เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของเราทุกคนให้เห็นความสำคัญของท้องทะเลซึ่งเป็นระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุดและเป็นส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และเพื่อให้เกิดการตระหนักว่าเราทุกคนมีหน้าที่ในการดูแลรักษาท้องทะเล ไม่ใช่เพียงแค่การฟื้นฟูเยียวยา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ        

คุณเคยได้ยินเสียงของทะเลไหม? ” สิงห์ เอสเตท เชื่อว่าในตอนนี้ทะเล มีบางสิ่งที่อยากจะบอกกับพวกเรา และอยากให้คนไทยทุกคนได้ฟัง

แรงบันดาลใจของหนังเรื่องนี้เกิดจากการที่ สิงห์ เอสเตท มีนโยบายด้านการทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจและชุมชน จึงได้ทำการศึกษาและพบว่าสถานการณ์ขยะทะเลในปัจจุบันเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญ  มองเห็นผลกระทบที่จะขยายวงกว้างมากขึ้นในอนาคต จึงได้คิดทำหนังเรื่องนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาว่าที่จริงแล้วขยะที่อยู่ในทะเลส่วนใหญ่มาจากคนเมืองที่อาจจะยังไม่ทราบว่าขยะที่คุณทิ้งอย่างไม่ถูกวิธีนั้น มันสามารถเดินทางผ่านทางแม่น้ำลำคลอง และไปถึงทะเลได้ในที่สุด และสุดท้ายมันทำร้ายทะเล ทำร้ายทุกสิ่งมีชีวิตในทะเล และสุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราทุกคน

สิงห์ เอสเตทจึงปล่อยหนังสั้น “เสียงของทะเล” ในวัน World Oceans day เพื่อเป็นตัวแทนของทะเลและเล่าถึงความในใจ ที่อยากจะบอกให้คนเมืองทุกคนได้ฟัง และแสดงให้เห็นว่าขยะพลาสติกมันเดินทางไปถึงทะเลได้อย่างไร เกิดผลกระทบอะไรบ้างและวิธีการที่จะช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างถูกต้อง ทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มต้นด้วยการทิ้งขยะให้ถูกที่ ขยะก็จะถูกนำไปจัดการด้วยวิธีที่ถูกต้องและไม่ไปถึงทะเลอีกต่อไป  และทำให้ทะเลในวันพรุ่งนี้สวยงามยิ่งขึ้น #SeaYouTomorrow

และนอกจากหนังสั้นเรื่องนี้ ทางสิงห์ เอสเตท ก็ยังมีกิจกรรมต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และการให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยรวมพลังชาวซันทาวเวอร์ส สร้างชุมชนน่าอยู่ชวนพนักงานออฟฟิศ ชุมชน กว่า 10,000 คน ลดการใช้พลาสติกรับวันทะเลโลก

โดยกิจกรรมนี้ จะเน้นสื่อสารให้คนเมืองรับรู้ผลกระทบจากการใช้ถุงพลาสติกที่มีอายุการใช้งานสั้นหรือใช้แล้วทิ้งทันทีการเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้พลาสติกทั้งผู้ซื้อและผู้ขายการทิ้งขยะและการคัดแยกขยะที่ถูกวิธีผ่านกิจกรรมที่เข้าใจง่ายและสามารถเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยอาทินิทรรศการการเสวนารวมถึงให้ทุกคนได้แสดงพลังร่วมต่อสู้ลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวผ่าน21 Days challenge โดยร่วมสะสมคะแนนจากการลดใช้พลาสติกผ่าน Application ตลอด 21 วัน

Singha Estate 1

จากหนังสั้นและกิจกรรมดังกล่าวในแคมเปญ #SeaYouTomorrow ทางสิงห์ เอสเตท เชื่อว่าคนเมืองจะมีความรู้และตระหนักเกี่ยวกับปัญหาของขยะพลาสติกมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ มาจากสิ่งเล็กที่ทุกคนร่วมสร้างในวันนี้

สิงห์ เอสเตท กับภารกิจปัจจุบัน และความมุ่งมั่นเพื่ออนาคต

สิงห์ เอสเตท ไม่ได้ทำแค่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่เราทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งสร้างความสมดุลระหว่างการดำเนินธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาความยั่งยืนระดับสากล ขององค์การสหประชาชาติ มาเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทใน 3 ด้านด้วยกัน คือ SDG14 Life below Water มุ่งอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลผ่านการป้องกัน ฟื้นฟู พร้อมให้ความรู้ที่ถูกต้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม SDG11Sustainable Cities & Communities มุ่งสร้างชุมชนยั่งยืนในทุกสถานที่ที่บริษัทเข้าไปพัฒนา และ SDG12 Responsible Consumption & Production การให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และคำนึงถึงการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ซึ่งเราดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการทำงานนี้ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการบริหารจัดการขยะที่เกิดจากโครงการต่างๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นจากบ้าน คอนโดมิเนียม ออฟฟิศ หรือโรงแรม

Singha Estate 2

คุณนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท ผู้บุกเบิกและให้การผลักดันแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทมาโดยตลอดกล่าวว่า ทะเลเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญและตั้งใจให้การดูแลอย่างจริงจัง ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่บริษัทฯ มีธุรกิจที่ตั้งอยู่บริเวณแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางทะเลของไทย ไม่ว่าจะเป็น เกาะสมุย หรือเกาะพีพี ดังนั้นการที่เราเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เราจึงมุ่งรักษาความสมดุลของท้องทะเล รวมถึงสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนรอบข้างเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในทุกส่วน

ทั้งนี้โครงการด้านความยั่งยืนที่ผ่านมาของสิงห์ เอสเตท ประกอบไปด้วย

ปี 2559 – โครงการ “พีพีกำลังจะเปลี่ยนไป” โครงการที่จัดทำตามกรอบแนวคิด พีพีโมเดล ของ ผศ.ดร.ธรณ์

ธำรงนาวาสวัสดิ์ ด้วยการมอบทุ่นจอดเรือที่ทะเลแหวก การสนับสนุนเรือตรวจการณ์เพื่อให้เจ้าหน้าที่อุทยานได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสนับสนุนการวิจัยสาหร่ายจิ๋ว (Zooxanthellae) เพื่อฟื้นฟูปะการังฟอกขาว

ปี 2560 – โครงการ “โตไวไว” บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับนักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนเดินหน้าสานต่อโครงการ “พีพี กำลังจะเปลี่ยนไป” เพื่อผลักดันการร่วมดูแลรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศและการคืนสมดุลธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา- หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การปลูกต้นพีพีหรือต้นแสมขาว การปลูกปะการังด้วยวิธีขยายพันธุ์โดยใช้ชิ้นส่วนทางธรรมชาติ รวมถึงการปล่อยปลาการ์ตูนสีส้มขาว บริเวณพื้นที่เกาะบิดะใน

และในปีนี้ได้ร่วมจัดทำโครงการติดตามและฟื้นฟูปะการังในพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา- หมู่เกาะพีพีผ่านภาพถ่ายทางอากาศจากโดรน โดยร่วมกับอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงร่วมสนับสนุนกิ่งพันธุ์ปะการังเพื่อนำไปปลูกในบริเวณอ่าวมาหยาในระหว่างที่มีการปิดอ่าวมาหยาเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติในช่วง 1 มิ.ย. – 30 ก.ย. 2561 และยังได้ดำเนินการสร้างศูนย์เรียนรู้ทางทะเล (Marine Discovery Centre: MDC)” บริเวณโรงแรมพีพีไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตทางทะเลสำหรับบุคคลทั่วไปเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่ต่อให้ต้องจัดกิจกรรมฟื้นฟูธรรมชาติทางทะเลอีกกี่ร้อยกี่พันโครงการ ก็คงไม่อาจช่วยให้ระบบนิเวศทางทะเลของเราดีขึ้นได้ ถ้าขาดจิตสำนึกและความร่วมมือจากพวกเราทุกคน

#SeaYouTomorrow ทะเลวันพรุ่งนี้อยู่ในมือคุณ


  • 775
  •  
  •  
  •  
  •