ใครที่ชื่นชอบและติดตามคอนเทนต์จากยูทูบเบอร์ชาวไทยบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวไลฟ์สไตล์และการกิน น่าจะเคยได้ดูคอนเทนต์จากช่อง BEARHUG มาบ้าง ภายใต้คาแรกเตอร์ที่สดใสสนุกสนานแบบวัยรุ่น จาก “ซารต์ – กานต์” และทีมงาน ทำให้ช่องดังกล่าวมีผู้ติดตามกว่า 2.8 ล้านคน ทั้งยังมียอดการรับชมคอนเทนต์แต่ละคลิปเป็นจำนวนหลายแสนครั้ง หรือมากกว่าล้านครั้งในหลาย ๆ คลิป ถือเป็นหนึ่งในยูทูบเบอร์อันดับต้น ๆ ของเมืองไทยก็ว่าได้
จาก “ยูทูบเบอร์” สู่ “SME” เจ้าของธุรกิจ สร้างแบรนด์
ท่ามกลางความสำเร็จที่น่าจับตา กับอาชีพยูทูบเบอร์ที่ใครต่อใครใฝ่ฝันจะเป็น! ซารต์ – กานต์ ในวัย 26 – 27 ปี กลับเลือกต่อยอดความสำเร็จด้วยการสร้างแบรนด์ชานมไข่มุกในชื่อ “BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea” เพื่อสานต่อความชอบและรักในการกิน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของช่อง BEARHUG และเป็นความฝันของซารต์ ซึ่งทั้ง 2 คนย้ำอยู่หลายครั้งว่า “ร้านนี้เกิดขึ้น เพราะเราอยากมีร้านที่คนต้องมาต่อคิวรอซื้อบ้าง ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ต้องเป็นแบรนด์ไทยของคนไทยไม่ใช่แค่แบรนด์ต่างประเทศที่ทำให้คนต้องไปยืนต่อคิว” ประกอบกับทั้ง 2 คน มีมุมมองว่า…การทำคอนเทนต์ VDO การเป็นยูทูบเบอร์นั้นเป็นความสุขของพวกเขา แต่ขณะเดียวกันก็อยากทำธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ชีวิตในอนาคต จึงเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท 21 ซันแพสชั่น จำกัด เจ้าของร้าน BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea
เป็นประเด็นชวนสงสัย ว่าธุรกิจชาไข่มุกร้านนี้เกิดจากอะไร เป็นเพราะต้องการเกาะกระแสเครื่องดื่มฮิตของคนไทยเท่านั้นหรือไม่ หรือมั่นใจในฐานแฟนคลับที่หวังจะต่อยอดจาก YouTube ซึ่งเรื่องนี้รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ ทางธุรกิจ ซารต์ – ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช ในฐานะผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ รวมถึง กานต์ – อรรถกร รัตนารมย์ ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและผู้จัดการทั่วไป บริษัทฯ และ โอ๊ก – ภีรภัทร แจ้งยอดสุข ที่ปรึกษาการตลาด ได้ตอบข้อสงสัยต่าง ๆ เอาไว้ว่า…

เลือก “ชานมไข่มุก” ตามกระแสเครื่องดื่มยอดฮิต?
หากตอนนี้จะมีธุรกิจชานมไข่มุกเกิดขึ้น เชื่อว่าหลายคนอาจตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า…แบรนด์เหล่านั้นเลือกทำธุรกิจตามกระแส เพราะยุคนี้ต้องยอมรับว่าเมนูชานมไข่มุกกลายเป็นขวัญใจของคนไทยจริง ๆ
-
ตลาดชานมไข่มุกในไทย มีมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา (นับเฉพาะแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัท)
-
ส่วนตลาดกาแฟสด มีมูลค่าถึง 17,000 ล้านบาท
ยิ่งเห็นตัวเลขดังกล่าว ยิ่งสะท้อนถึงโอกาสมหาศาลในตลาดเครื่องดื่มอย่างชานมไข่มุกและกาแฟในแต่ละปี ซึ่งเป้าหมายของ 21 ซันแพสชั่น คือ การที่ชานมไข่มุกจะกลายเป็นเครื่องดื่มที่ทุกคนสามารถซื้อและบริโภคได้ทุกวันเหมือนกับกาแฟ ประกอบกับอาชีพยูทูบเบอร์ทำให้ ซาร์ต – กานต์ มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศและได้ชิมชานมไข่มุกในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จึงติดใจรสชาติและเห็นพฤติกรรมการต่อคิวซื้อ กระทั่งกลายเป็นไอเดียให้ทั้ง 2 คน อยากมีแบรนด์เป็นของตนเองในประเทศไทย พร้อมกับความฝันที่จะเป็นเจ้าของแบรนด์ที่ขยายสาขาไปยังต่างประเทศ หรือส่งออกเม็ดไข่มุกแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
“บางคนมองว่าเราทำธุรกิจขายแฟนคลับ จริง ๆ แล้วคนเหล่านี้ก็คือหนึ่งในลูกค้าของเรา แต่เราไม่ได้คิดว่าจะทำเพื่อขายพวกเขาเท่านั้น เราอยากขายของอร่อยให้คนที่ชอบกินชานมไข่มุกและชอบกินของอร่อยเหมือนกับเรา ซึ่งซารต์ก็เป็นคนนึงที่กินชานมไข่มุกทุกวันและเลือกกินหลากหลายแบรนด์ด้วย เพราะเชื่อว่าแต่ละแบรนด์มีเอกลักษณ์ความอร่อยแตกต่างกัน นั่นทำให้เราใช้เวลาเกือบ 1 ปี ตั้งแต่กระบวนการคิดและพัฒนาจนมีร้าน BEARHOUSE ดังนั้น การทำธุรกิจสำหรับเราก็เหมือนการเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ไม่ได้รับใบปริญญาเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้เรามองอาหารเป็นมากกว่าของกินแต่เป็นธุรกิจที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบหลายด้านที่เราอยากคิดค้นและพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ”


กระโจนลง “ทำเลทอง” สยามสแควร์! แหล่งรวมชานมไข่มุก
การมีชานมไข่มุกหลากหลายแบรนด์ในขณะนี้ โดยเฉพาะย่านสยามสแควร์ที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมแบรนด์ดัง แต่แนวคิดของ BEARHOUSE กลับมองว่า การมีผู้เล่นหลายรายในตลาดทำให้เกิดสีสัน รวมถึงการที่แบรนด์เครื่องดื่มทั่วไปก็หันมาทำตลาดไข่มุกทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกมากขึ้น และแน่นอนว่าแบรนด์ BEARHOUSE ก็เข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ของตลาดชานมไข่มุกเช่นกัน ประกอบกับ…ทำเลดังกล่าว ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานด้วย จึงเป็นที่มาของร้าน BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea แฟลกชิปสโตร์แห่งนี้
ทำแบรนด์แบบมีสตอรี่! ใช้ไข่มุกเป็น “จุดเริ่มต้น” เตรียมต่อยอดสินค้าอื่น
เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจที่แบรนด์ BEARHOUSE จะทำธุรกิจแบบมีสตอรี่ชัดเจน ดังนั้นธุรกิจชานมไข่มุกจึงมีแนวคิด “Simple but Significant” ไข่มุกของที่ร้านฯ จะมีเอกลักษณ์ มีการใช้วัตถุดิบทั้งของไทยและจากต่างประเทศ ทุกอย่างถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี และมีทีม R&D เพื่อพัฒนาวัตถุดิบและสินค้าใหม่ ๆ ทำให้แบรนด์สามารถแข่งขันได้ต่อเนื่อง
“เพราะ BEARHOUSE เป็นธุรกิจของเราเอง ไม่ได้ซื้อแฟรนไชส์มา ยอมรับว่าช่วงแรกเคยคิดจะซื้อแฟรนไชส์จากต่างประเทศแต่ต้นทุนก็นับสิบล้านบาทแล้ว ขณะที่การเปิดร้านแห่งแรกนี้เราใช้งบประมาณ 8 ล้านบาท ทั้งเรื่องวัตถุดิบ งานเครื่องจักร และการตกแต่ง ส่วนนึงเพราะเราใจร้อน อยากปรับปรุงสูตรได้เอง ทำขั้นตอนต่าง ๆ ได้เร็ว ทำให้ไม่เหมาะกับการซื้อแฟรนไชส์มาให้บริการ นอกจากนี้ เรายังมีเป้าหมายเป็นส่วนหนึ่งในความอร่อยของคนไทย และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการไดร์ฟตลาดอาหารอร่อยในเมืองไทยด้วยแบรนด์ไทยด้วย”
ความท้าทายอีกประการในการทำธุรกิจของ BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea คือ การสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ จะทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจมีเอกลักษณ์ที่ผู้บริโภคจดจำได้ แนวทางของร้านฯ จึงออกมาในรูปแบบ “ไข่มุกสด” ปั้นใหม่ทุกวันไม่เก็บข้ามคืน ใช้แป้งข้าวไทยเป็นส่วนประกอบ เน้นความเป็นธรรมชาติไม่ใส่สีไม่ใส่สารเคมี และมีขนาดเล็กกว่าไข่มุกทั่วไปเพื่อความสะดวกในการเคี้ยว แต่ยังคงรสสัมผัสที่เหนียวนุ่มและมีกลิ่นแป้งชัดเจนกว่า โดยเรียกว่า “ไข่มุกโมจิ” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักและเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ BEARHOUSE เพื่อต่อยอดเป็นเมนูขนมหวานประเภทอื่นในอนาคต รวมถึงต่อยอดร้านชานมไข่มุกสู่คาเฟ่ขนมหวาน และธุรกิจประเภทอื่นต่อไปภายใต้แบรนด์หลักคือ BEARHOUSE

“ประเด็นที่บอกว่าเราต้มไข่มุกโมจิไม่สุก ต้องบอกว่าไข่มุกเราสุกแล้ว สุกตั้งแต่การต้ม 3 นาทีแรก แต่เอกลักษณ์เรื่องกลิ่นแป้งและความเหนียวหนึบ อาจแตกต่างจากไข่มุกแบรนด์อื่น ๆ จึงทำให้ผู้บริโภคไม่คุ้นชินมากกว่า ทุกคำติชมเป็นสิ่งที่เรายอมรับและพยายามจะพัฒนาสินค้าให้ถูกปากลูกค้ามากที่สุดจึงมีการปรับสูตรต่าง ๆ อยู่ตลอด แต่สูตรไข่มุกโมจิคงเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เราคิดว่าลงตัวและจะไม่เปลี่ยนสูตรแล้ว”
ทั้งนี้ หลังจากเปิดขายอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนปีนี้ BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea ก็เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พร้อมกับสินค้าใหม่ไอศกรีม 4 รสชาติ ได้แก่ รสชาอัสสัมร้อยปี รสนมฮอกไกโด รสสัมยูสุ และรสนมน้ำตาลแดง ปัจจุบันร้าน BEARHOUSE จัดอยู่ในกลุ่มพรีเมี่ยมแมส โดยราคาชานมไข่มุกเริ่มต้นที่ 75 บาท ส่วนเมนูไอศกรีมจะขายในราคา 79 บาท ให้เลือกท้อปปิ้งได้ 1 อย่าง ซึ่งตามแผนจะเปิดขายในเร็ว ๆ นี้

วางเป้าหมายชัดเจน ต้องการยอดขาย 1,000 แก้วต่อวัน รายได้ 15 ล้านบาท
การเปิดร้านในช่วงแรก ใช้พื้นที่บริเวณชั้น 1 เพียงชั้นเดียว แต่ทาง BEARHOUSE วางแผนจะขยายพื้นที่ชั้น 2 – 4 เพิ่มเติมและเปิดให้บริการภายในเดือนสิงหาคม – กันยายนปีนี้ โดยชั้น 2 – 3 ถูกจัดวางเป็นครัวและที่นั่งสำหรับลูกค้า ส่วนชั้น 4 จะเป็นแลปสำหรับพัฒนาโปรดักส์ใหม่ ๆ ต่อไป
“เราตั้งเป้าหมายขยายสาขา BEARHOUSE Fresh Boba Milk Tea แบบ Full Scale (ร้านแบบมีที่นั่งให้ลูกค้า พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 30 ตร.ม.) ให้ครบ 5 สาขา ภายใน 2 ปี โดยเฟสแรกอยากขยายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน จากนั้นจึงขยายไปสู่จังหวัดหัวเมือง ส่วนทำเลที่ตั้งใจก็จะมีทั้งในห้างชั้นนำและรูปแบบสแตนด์อโลน ซึ่งตอนนี้ได้รับการติดต่อจากห้างชั้นนำของประเทศแล้วอยู่ระหว่างการพูดคุย นอกจากนี้ยังตั้งเป้าการขายไว้ที่ 1,000 แก้วต่อวัน หลังจากมีกระแสตอบรับดีสามารถขายได้ 700 – 800 แก้วต่อวันในช่วงก่อนเปิดร้านเป็นทางการ ส่วนรายได้ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาท”
แม้จะเพิ่งเปิดร้านได้ไม่ถึง 3 เดือน แต่ความนิยมของชานมไข่มุก BEARHOUSE ทำให้แบรนด์เลือกจะต่อยอดด้วยการสร้างความแข็งแรงทางธุรกิจ ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง บริการสั่งผ่านออนไลน์ และทำโปรโมชันร่วมกับ ค่ายมือถือ และธนาคาร เพื่อต่อยอดการรับรู้ในแบรนด์ผ่านฐานลูกค้าของพาร์ทเนอร์ ขณะเดียวกัน เป้าหมายในการพัฒนาสินค้าก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ ทั้งการพัฒนาสูตรเครื่องดื่ม – ไข่มุกรสชาติใหม่ รวมถึงการนำวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาผสมผสานกับวัตถุดิบของไทยเพื่อต่อยอดเป็นสินค้าใหม่ เช่นเดียวกับการขยายกำลังการผลิตเม็ดไข่มุก ซึ่งปัจจุบัน BEARHOUSE ได้ลงทุนไปแล้ว 5 ล้านบาท เพื่อสร้าง “ครัวกลาง” ในการผลิต แต่เนื่องจากกำลังการผลิต 70 – 80 กิโลกรัมต่อวัน ตอนนี้เพียงพอต่อการขายชานมไข่มุกได้สาขาเดียวเท่านั้น อนาคตจึงอาจต้องลงทุนและเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นอีก