เกิดอะไรขึ้นกับโรงแรม “ดุสิตธานี” แบรนด์โรงแรมหรูระดับตำนานของไทย? จู่ๆ ก็มีข่าวใหญ่เรื่องความขัดแย้งภายในจนถึงขั้นจะปลดทายาทคนโตออกจากตำแหน่ง เรื่องราวทั้งหมดซับซ้อนแต่สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า นี่คือ “ศึกสายเลือด” ของทายาทผู้ก่อตั้ง ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงอนาคตของแบรนด์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
โครงสร้างผู้ถือหุ้น DUSIT: ใครคือผู้เล่นสำคัญ?
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของดราม่านี้ การรู้ว่าใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก มีดังนี้
- บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด: 49.74% (นี่คือบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัวที่เป็นศูนย์กลางของปัญหา)
- บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน): 17.09% (พันธมิตรในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค)
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน): 4.06%
- นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล: 3.87%
- นางจารุณี ชินวงศ์วรกุล: 2.09%
จากโครงสร้างนี้จะเห็นชัดเจนว่า บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด คือผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจมากที่สุดเกือบครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในบริษัทนี้ ย่อมส่งผลโดยตรงมาถึงดุสิตธานีอย่างแน่นอน
จุดเริ่มรอยร้าวในบ้านสู่ปัญหาทางธุรกิจ
หัวใจของดราม่าครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ บมจ.ดุสิตธานี (DUSIT) โดยตรง แต่อยู่ที่บริษัทแม่ชื่อ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัว “ปิยะอุย” และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน DUSIT ถึง 49.74% หรือเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อ ท่านผู้หญิงชนัต ปิยะอุย ผู้ก่อตั้ง ถึงแก่กรรม ปัญหาความขัดแย้งเรื่องอำนาจบริหารในบริษัทโฮลดิ้งนี้ก็เกิดขึ้นระหว่างทายาท 3 คน โดยโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
- กลุ่มคุณชนินทธ์ โทณวณิก (พี่ชายคนโต) ถือหุ้นประมาณ 25.4%
- กลุ่มคุณสินี เธียรประสิทธิ์ (น้องสาวคนกลาง) ถือหุ้นประมาณ 26.57%
- กลุ่มคุณสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค (น้องสาวคนเล็ก) ถือหุ้นประมาณ 21.62%
จุดเปลี่ยนสำคัญ คืออำนาจการตัดสินใจในบริษัทโฮลดิ้งนี้ ตามที่คุณชนินทธ์แถลง จากเดิมที่เขาต้องลงนามร่วมกับน้องคนใดคนหนึ่ง ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็น “เสียง 2 ใน 3” ซึ่งเมื่อรวมสัดส่วนหุ้นของน้องสาวสองคน (คุณสินีและคุณสุนงค์) เข้าด้วยกันจะได้กว่า 48% ทำให้มีอำนาจมากกว่าหุ้นของคุณชนินทธ์ และสามารถจับมือกันลงมติทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากพี่ชาย
ด้วยกลไกนี้เอง เมื่อฝั่งน้องสาวต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรใน DUSIT พวกเขาก็สามารถใช้เสียงของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก” ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เกือบ 50% เพื่อผลักดันวาระต่างๆ ได้ตามกฎหมาย ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ปัญหาในบ้านลุกลามออกมาสู่บริษัทมหาชน
ไทม์ไลน์ดราม่า เมษายน 2568
ระเบิดลูกแรกที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่น ความขัดแย้งภายในได้ปะทุสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อ “บริษัท ชนัตถ์และลูก” ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการ “โหวตไม่อนุมัติ” งบการเงินปี 2567 ของ DUSIT ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่การประชุมในเดือนเมษายนเรื่อยมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่งในโลกธุรกิจ เหตุผลที่ทาง “บริษัท ชนัตถ์และลูก” ให้ไว้มี 2 ประเด็นหลัก คือ ไม่พอใจคำชี้แจงของคณะกรรมการในเรื่องสินทรัพย์และหนี้สิน และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่พอใจผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง
เมื่อย้อนดูตัวเลข 5 ปีหลังสุด ก็พอจะเข้าใจเหตุผลของฝั่งผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ไม่ยาก เพราะ DUSIT ประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
- ปี 2563: ขาดทุน 1,011 ล้านบาท (ผลกระทบโควิด-19 เต็มปี)
- ปี 2564: ขาดทุน 945 ล้านบาท (ยังคงได้รับผลกระทบจากโควิด-19)
- ปี 2565: ขาดทุน 501 ล้านบาท (เริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ)
- ปี 2566: ขาดทุน 570 ล้านบาท
- ปี 2567: ขาดทุน 237 ล้านบาท (ขาดทุนลดลง แต่ยังไม่ทำกำไร)
การขาดทุนต่อเนื่องนี้เองที่ทำให้ “บริษัท ชนัตถ์และลูก” ไม่ได้รับเงินปันผลมานานกว่า 5 ปี ซึ่งกลายเป็นชนวนสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจโหวตคว่ำงบในครั้งนั้น และเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่พอใจทิศทางการบริหารงานอีกต่อไป
ผลกระทบที่เกิดขึ้นทันที คือการสั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างรุนแรง การที่งบการเงินไม่ผ่านการรับรอง ทำให้บริษัทไม่สามารถส่งงบให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตามกำหนด และเสี่ยงต่อการถูกขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้ และสร้างความไม่แน่นอนต่ออนาคตของบริษัทอย่างมหาศาล
เรียกได้ว่าเป็นการตั้งคำถามตัวใหญ่ถึงเสถียรภาพและธรรมาภิบาลของบริษัทในสายตาสาธารณชน
27 สิงหาคม ช่วงเช้า เปิดศึกเป็นทางการ
ดราม่าระลอกใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ DUSIT ส่งเอกสารแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายน 2568 โดยมีวาระสำคัญคือการพิจารณา “ถอดถอน” คุณชนินทธ์ออกจากตำแหน่งกรรมการ ในเอกสารระบุชัดเจนว่า วาระนี้ถูกเสนอขึ้นตามคำขอของ “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” ที่ใช้สิทธิตามกฎหมายในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ คณะกรรมการบริษัท (ที่ไม่รวมผู้มีส่วนได้เสีย) ได้แนบความเห็นเพิ่มเติมมาด้วยว่า การถอดถอนคุณชนินทธ์จะส่งผลกระทบต่อบริษัทและความเชื่อมั่นอย่างมาก ซึ่งเปรียบเสมือนการส่งสัญญาณให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยรับรู้ว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้ถือหุ้นใหญ่
27 สิงหาคม ช่วงสาย คุณชนินทธ์ แถลงด่วนตอบโต้

หลังจากข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ แพร่ออกไปไม่นาน คุณชนินทธ์ก็จัดแถลงข่าวด่วนทันที โดยชี้แจงว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดคือความขัดแย้งในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องผลการดำเนินงาน พร้อมโต้กลับประเด็นขาดทุนว่า
“ที่ขาดทุนเพราะเรากำลังลงทุนในโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” และเจอวิกฤตโควิด แต่เราก็ประคองผ่านมาได้โดยไม่เคยขอเงินเพิ่มจากผู้ถือหุ้นเลย และตอนนี้โครงการกำลังจะสร้างกำไรมหาศาลแล้ว โดยเฉพาะส่วนของที่พักอาศัยสุดหรู “ดุสิต เรสซิเดนเซส” ที่มียอดจองแล้วถึง 92%”
นอกจากนี้ เขายังได้จุดประเด็นที่ใหญ่กว่านั้น โดยแสดงความกังวลว่าการกระทำของน้องสาวอาจเป็นการเปิดทางให้ “กลุ่มเซ็นทรัล” เข้ามาครอบงำกิจการ ซึ่งถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงและสั่นสะเทือนวงการธุรกิจแบบสุดๆ
27 สิงหาคม ช่วงบ่าย “เซ็นทรัลพัฒนา” ออกโรงโต้
เมื่อถูกพาดพิงเต็มๆ เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ก็ไม่รอช้า ออกแถลงการณ์โต้กลับอย่างรวดเร็ว โดยยืนยันหนักแน่นว่า “ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น” กับความขัดแย้งภายในของครอบครัวปิยะอุย
CPN ชี้แจงว่าการถือหุ้น 17.09% เป็นไปในฐานะ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ที่ร่วมลงทุนในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาตั้งแต่ปี 2560 และการที่บริษัทได้รับการเสนอชื่อให้ส่งตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการ ก็เป็นไปตามสิทธิปกติของผู้ถือหุ้นเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจให้เติบโต
เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนการเป็นเพื่อนบ้านที่ลงทุนทำสวนสาธารณะร่วมกัน (โครงการ) พอได้รับเชิญให้เข้าไปช่วยดูแลหมู่บ้าน (เป็นกรรมการ) ก็เพื่อช่วยให้หมู่บ้านดีขึ้น ไม่ได้มีความตั้งใจจะไปยึดบ้านของใครทำนองนั้น
27 สิงหาคม คุณศุภจี CEO ย้ำการดำเนินงานยังเป็นปกติ

ท่ามกลางการแถลงข่าวตอบโต้กันอย่างดุเดือด ในวันเดียวกันนั้นเอง คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี ในฐานะผู้บริหารมืออาชีพ ได้ออกมาชี้แจงเพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยระบุว่าการจัดประชุมผู้ถือหุ้นเป็นกระบวนการปกติภายใต้กฎหมายและหลักบรรษัทภิบาล พร้อมยืนยันว่า “ดิฉันขอยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น โดยทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ จนกว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นจะมีมติ” เธอยังได้กล่าวเสริมถึงอนาคตของบริษัทว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร “สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้อย่างแน่นอน คือ การที่ดุสิตธานีจะสามารถรับรู้รายได้และผลกำไรในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนภายในปีหน้า” ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าพื้นฐานของธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง
28 สิงหาคม 2568 “มาดามแป้ง” ลาออก
เพียงหนึ่งวันหลังจากเหตุการณ์แถลงข่าวตอบโต้กันอย่างดุเดือด DUSIT ก็ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งว่า คุณนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ “มาดามแป้ง” ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการ โดยให้เหตุผลว่ามีภารกิจหลายด้าน ทั้งธุรกิจ งานสังคม และโดยเฉพาะงานด้านกีฬาที่ต้องบริหารเต็มเวลา ซึ่งอาจกระทบต่อการทำหน้าที่กรรมการ
แม้เหตุผลที่แจ้งจะเป็นเรื่องภารกิจส่วนตัว แต่การลาออกท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่ร้อนระอุ ย่อมทำให้เกิดการตีความและถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนภายในบอร์ดบริหารหรือไม่
26 กันยายนวันตัดสินชะตา
นี่คือวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะมีการลงมติในวาระสำคัญ คือการ “ถอดถอน” คุณชนินทธ์ออกจากตำแหน่งกรรมการ นอกจากนี้ยังมีวาระสำคัญที่ต้องจับตาคือ การเสนอเพิ่มจำนวนกรรมการบริษัทจาก 12 คน เป็น 18 คน ซึ่งหากวาระนี้ผ่าน จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจการควบคุมบริษัทอย่างสิ้นเชิง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารชุดปัจจุบันได้ในอนาคต
ผลโหวตในวันนั้นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของดุสิตธานี เป็นวันสำคัญที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องจับตามองและลุ้นผลการประชุมที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นแน่นอน
เดิมพันที่สูงกว่าแค่ตำแหน่ง
เดิมพันของศึกครั้งนี้สูงมาก ไม่ใช่แค่ตำแหน่งของคุณชนินทธ์ แต่ยังรวมถึงอนาคตของเมกะโปรเจกต์ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” และที่สำคัญที่สุดคือภาพลักษณ์และ “จิตวิญญาณ” ของแบรนด์โรงแรมระดับตำนานที่สั่นคลอนอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเดิมพันที่ซ่อนอยู่และอาจส่งผลกระทบในระยะยาว นั่นคือ อนาคตของทายาทรุ่นที่ 3

เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณชนินทธ์ได้วางรากฐานและปลุกปั้น คุณศิรเดช โทณวณิก บุตรชาย ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจ โดยคุณศิรเดชได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตำแหน่ง Vice President Development Global และเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงหลักที่ขับเคลื่อนโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งเป็นโครงการเรือธงที่จะกำหนดทิศทางใหม่ของแบรนด์ โดยเน้นเรื่องไลฟ์สไตล์, Wellness และความยั่งยืน เพื่อให้แบรนด์ดุสิตธานีสามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้
ดังนั้น การพยายามถอดถอนคุณชนินทธ์ออกจากตำแหน่ง จึงไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับคุณชนินทธ์เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นการสั่นคลอนแผนการส่งต่อธุรกิจ (Succession Plan) ที่วางไว้ด้วย หากคุณชนินทธ์ถูกถอดถอน อาจทำให้เส้นทางของทายาทรุ่นที่ 3 ที่ถูกเตรียมพร้อมมาอย่างดีต้องหยุดชะงัก หรืออาจถูกกีดกันออกจากตำแหน่งได้ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้วิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาที่วางไว้สำหรับคนรุ่นใหม่อาจไม่ถูกนำมาใช้
สุดท้ายแล้วบทสรุปของดราม่าครั้งนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องรอผลการประชุมในวันที่ 26 กันยายนนี้ ซึ่งจะเป็น Case Study ครั้งสำคัญที่ทั้งวงการธุรกิจต้องจดจำ ทั้งในเรื่องของความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัว รวมถึงเป็นกรณีศึกษาในฐานะจุดเปลี่ยนที่อาจกำหนดชะตากรรมของแบรนด์ระดับตำนานไปอีกหลายสิบปีต่อจากนี้ด้วยเช่นกัน