
ปี 2025 นับเป็นปีแห่ง “ความผันผวนและการปรับฐาน” อย่างแท้จริงสำหรับวงการธุรกิจไทย เราได้เห็นแรงกระแทกจากปัจจัยระดับโลกที่ส่งผลตรงถึงกระเป๋าตังค์ผู้ประกอบการ ไปจนถึงดราม่าธุรกิจระดับประเทศที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็ไม่ได้หยุดรอใคร โดยเปลี่ยนผ่านจากยุคของ Generative AI ไปสู่ยุคของการ AI Agent อย่างสมบูรณ์
บทความนี้ Marketing Oops! ได้รวบรวมและสรุป 10 ปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปีนี้ เพื่อเป็นบทเรียนให้นักการตลาด คนทำงาน ผู้บริหาร รวมถึงเจ้าของธุรกิจได้ทบทวนและเตรียมรับมือกับคลื่นความเปลี่ยนแปลงลูกใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้านี้
1. ภาษี Trump 2.0 ฝันร้ายระลอกใหม่ของไทย

การกลับมาของ “มาตรการกีดกันทางการค้า” ในยุคประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ภาคการส่งออกไทยอย่างจัง โดยล่าสุดสหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย (Reciprocal Tariff) ในอัตรา 19% ลดลงจากเดิมที่ขู่ไว้ 36% โดยมาตรการมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 ที่ผ่านมา แน่นอนว่านี่คือต้นทุนส่วนเพิ่มที่ผู้ส่งออกไทยต้องแบกรับกันจริงๆ
ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ภาษีอัตราทั่วไป แต่สินค้ากลุ่มเฉพาะอย่าง เหล็ก อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท ก็โดนกำแพงภาษีสูงถึง 50% ทำให้ซัพพลายเชนต้องปั่นป่วน ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเรื่องการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า (Origin Verification) อย่างเข้มข้นเพื่อยืนยันว่าสินค้ามีสัดส่วนมูลค่าในไทยตามเกณฑ์ เพื่อเลี่ยงการโดนเหมารวมว่าเป็นสินค้าจีนที่มาสวมสิทธิ์ นี่คือโจทย์หินที่ภาคการผลิตต้องแก้ให้ตกในปีนี้และปีหน้า
ยิ่งกว่านั้นปัญหาความขัดแย้งการสู้รบระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาก็อาจเสี่ยงที่จะทำให้ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศไทยมากกว่าเดิมไปอีกซึ่งก็แน่นอนว่าต้องจับตาเรื่องนี้กันยาวๆในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้าว่ารัฐบาลจะมีกลยุทธ์ในการเจรจาเรื่องนี้กับสหรัฐอเมริกาอย่างไร
2. เศรษฐกิจไทยเปราะบาง-หนี้ครัวเรือนสูงรัฐส่ง Quick Big Win แก้

ปี 2025 เป็นอีกหนึ่งปีที่หนักหนาสำหรับประเทศไทยไม่น้อย เพราะต้องเผชิญ “กับดักใหญ่ด้านเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนสูง” ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยหลายสำนักวิจัยประมาณการณ์ GDP ไทยปี 2025 โตแค่ 2% และคาดการณ์ว่าปี 2026 GDP ไทยจะโตแค่1.6-1.8% เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าสุด
นอกจากนี้รายงานจาก Trading Economics เผยสถิติหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในเอเชีย พบว่าไทยมีหนี้ครัวเรือน 88.2% สูงเป็นอันดับ 2 รองจากเกาหลีใต้ (89.5%) และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยเป็นหนี้มากขึ้น และยังไม่มีแนวโน้มจะลดลง
เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา รัฐบาลได้ใช้นโยบาย “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” วงเงินรวม 44,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีประชาชนและร้านค้าเข้าร่วมและมียอดใช้จ่ายสะสมเกิดขึ้นจริงเป็นจำนวนมาก
ด้านการท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจสำคัญยังต้องเผชิญความท้าทาย โดยคาดว่าปีนี้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงเหลือ 32 ล้านคน สาเหตุหลักมาจากภัยธรรมชาติ ปัญหาความมั่นคง และเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดจำนวนลงอย่างชัดเจน ภาครัฐจึงเร่งปรับกลยุทธ์ขยายฐานไปยังตลาดใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง เช่น ตะวันออกกลางและอินเดีย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2026 ต่อไป
โดยสรุปแล้ว การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตไปจนถึงปี 2026 ยังคงต้องพึ่งพา 2 เครื่องยนต์หลัก คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ท่ามกลางความท้าทายและความผันผวนของสถานการณ์โลกที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
3. บริษัทเทคฯเกิด “Mass Layoffs” อีกระลอก

ปี 2025 เป็นอีกปีที่เกิดสถานการณ์ “Mass Layoffs” หรือ การเลิกจ้างพนักงานจำนวนมากในคราวเดียวในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ “บริษัทเทคโนโลยี” โดยเฉพาะเหล่า Big Tech Company รายใหญ่ระดับโลก
ข้อมูลจาก Layoffs.fyi เว็บไซต์ติดตามและรวบรวมข้อมูลการเลิกจ้างของบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ รายงานสถิตินับตั้งแต่ต้นปี 2025 ถึงปัจจุบัน ณ เดือนธันวาคม จำนวนผู้ที่อยู่ในบริษัทเทคฯ ถูกเลิกจ้างไปแล้วกว่า 122,549 คน จาก 257 บริษัท แม้จำนวนดังกล่าวจะลดลงจากปี 2023-2024 แต่ก็เป็นภาพสะท้อนถึงสถานการณ์การจ้างงานในปัจจุบัน
ตัวอย่างบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ที่ปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ในปีนี้ เช่น Amazon ปลดคนไปแล้ว 14,000 คน, Microsoft กว่า 15,000 คน, Meta ประมาณ 600 คน, Intel 24,000 คน, Saleforce 4,000 คน
แม้บริษัทเทคฯ หลายองค์กร ยังคงมีผลกำไรเติบโต แต่เหตุผลหลักที่ตัดสินใจปลดพนักงานจำนวนมาก นั้นมาจากหลายเรื่องทั้งการ รับมือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว พร้อมใช้จังหวะนี้ปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพสูงสุด การ ลดต้นทุนคน และปรับลดการจ้างพนักงานเกินความจำเป็นก่อนหน้านี้ รวมถึงการหันไปลงทุนในเทคโนโลยี AI และ Cloud มากขึ้น รวมทั้งนำระบบ Automation มาใช้
ดังนั้นในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว และสถานการณ์ความไม่แน่นอนมากมาย คาดว่าคลื่นสึนามิ Layoffs ยังคงไม่จบ หากแต่จะปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นการทำงานในยุคนี้ สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องมี Resilience และไม่หยุดที่จะเรียนรู้ พัฒนาทักษะใหม่ที่ตลาดงานต้องการอยู่เสมอ
4. ยุคแห่ง AI Agent ที่เริ่มทำงานแทนคน

หากปี 2023-2024 คือยุคของการตื่นเต้นกับ ChatGPT ปี 2025 นี้ก็คือปีแห่ง “AI Agent” อย่างแท้จริง เพราะเราได้ก้าวข้ามจากการใช้ AI เพื่อ “สร้างเนื้อหา” (Generative) มาสู่การใช้ AI เพื่อ “ทำงานแทนคน” (Agentic) แล้ว โดย AI Agent มีความสามารถในการวางแผน ตัดสินใจ และลงมือทำภารกิจที่ซับซ้อนได้เอง เช่น การจองตั๋ว ตอบอีเมลลูกค้า หรือบริหารสต็อกสินค้า โดยที่มนุษย์ทำหน้าที่แค่ดูแลภาพรวมเท่านั้น
ปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดการใช้งานจริงในวงกว้าง คือการมีเครื่องมือสร้าง Automate Workflow ที่เข้าถึงง่ายขึ้นอย่าง n8n หรือ Opal ของ Google เครื่องมือเหล่านี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมที่ทำให้คนทำงานทั่วไปสามารถสร้างและสั่งงาน AI Agent ได้ง่ายๆ แบบ Low-code/No-code ช่วยลดความซับซ้อนและทำให้การทำงานแบบอัตโนมัติเกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เทรนด์นี้จะมาเปลี่ยนการทำงานของมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง องค์กรต่างๆจะเริ่มมองหาโซลูชันที่เป็นมากกว่า Chatbot ธรรมดา คือต้องเป็น “พนักงานดิจิทัล” ที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมงแทน ซึ่งแน่นอนว่าในปีหน้าเราน่าจะได้เห็นการแข่งขันกันสร้าง Use Case ในการใช้ AI Agent เข้ามาทำงานอัตโนมัติแทนคน รวมไปถึงอาจได้เห็นการทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization และปิดการขายด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยที่ผู้บริโภคแทบไม่รู้ตัวมากยิ่งขึ้น
5. “แผ่นดินไหว” ทำให้ Uncertainty คือ “ความปกติใหม่”

ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจไทยคุ้นเคยกับการบริหารความเสี่ยงในกรอบเดิม ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเทคโนโลยี แต่เหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” ขนาดใหญ่ในประเทศเมียนมาเมื่อช่วงต้นปี 2025 ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ถึงกรุงเทพฯ ได้เปิดอีกมิติของความไม่แน่นอน หรือ Uncertainty ที่แทบไม่เคยถูกนำมาคิดในสมการทางธุรกิจอย่างจริงจังมาก่อน
แม้เหตุการณ์จะกินเวลาเพียงไม่นาน แต่ผลกระทบเชิงความเชื่อมั่นกลับขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเมืองที่พึ่งพาอาคารสูง โรงแรม และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจ SCB EIC ประเมินว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์นี้อาจสูงกว่า 30,000 ล้านบาท สะท้อนออกมาผ่านการยกเลิกการจองที่พัก ความลังเลของนักท่องเที่ยว และความกังวลของผู้บริโภคต่อการอยู่อาศัยในอาคารแนวสูง ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนทางอ้อมที่เกิดจากความไม่แน่ใจ มากกว่าความเสียหายทางกายภาพโดยตรง
สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้น่าจดจำในเชิงธุรกิจ คือการตอกย้ำว่า Uncertainty รูปแบบใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมักมาในลักษณะที่อยู่นอกแบบจำลองความเสี่ยงเดิม ภาคอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และธุรกิจบริการจำนวนมากพบว่า มาตรฐานด้านวิศวกรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป หากขาดการสื่อสาร การบริหารความเชื่อมั่น และแผนรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ชัดเจนและซ้อมใช้งานได้จริง
แผ่นดินไหวครั้งนี้จึงกลายเป็น Wake-up Call ที่ชัดเจนว่า การบริหารธุรกิจในยุคต่อไปต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ความน่าจะเป็นจะต่ำ โลกในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วย Uncertainty การมีแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ หรือ Business Continuity Plan การออกแบบโครงสร้างที่เผื่อความไม่แน่นอน และการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างโปร่งใส จะกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในปี 2026 และหลังจากนี้
6. “MK, ตี๋น้อย, ลัคกี้สุกี้” ศึกสุกี้สุดร้อนแรง

ตลาดสุกี้-ชาบูในประเทศไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 2.5 หมื่นล้านบาท กำลังเข้าสู่ยุคการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุด โดยเปลี่ยนจากยุคที่ MK เป็นเจ้าตลาดเพียงรายเดียวเข้าสู่ “สงครามราคาและความคุ้มค่า” ที่มีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ผู้เล่นหลักอย่าง “MK Restaurants”, “สุกี้ตี๋น้อย”, และ “ลัคกี้สุกี้” ต่างเร่งงัดกลยุทธ์เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม Mass-Midscale อย่างเข้มข้น
MK Restaurants ผู้นำตลาดเดิมกำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากกระแสบุฟเฟต์จนยอดขายและกำไรลดลง จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการเปิดแบรนด์ลูก “Bonus Suki” เพื่อลงมาเล่นสงครามราคาในตลาดแมสโดยตรง รวมถึงการจัดโปรโมชั่น MK Buffet เป็นครั้งคราว และขยายช่องทางขายอาหารสำเร็จรูปใน 7-Eleven เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุน
ในขณะที่ “สุกี้ตี๋น้อย” ผู้ท้าชิงบัลลังก์ที่ประสบความสำเร็จสูงด้วยจุดขาย “ความคุ้มค่า” และเปิดบริการดึกถึง 24 ชั่วโมง เดินหน้าขยายสาขาเชิงรุกทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมทุ่มงบสร้างครัวกลางขนาดใหญ่เพื่อรองรับรายได้ที่คาดว่าจะแตะหลักหมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องแบกรับแรงกดดันจากสงครามราคาที่ทำให้กำไรสุทธิลดลงแม้รายได้จะเติบโต
ทางด้าน “ลัคกี้สุกี้” ม้ามืดที่เน้นคุณภาพและความหลากหลายของเมนู ได้รับแรงหนุนสำคัญจากการที่ Central Restaurants Group (CRG) เข้าซื้อหุ้น 40% มูลค่า 940 ล้านบาท ซึ่งช่วยเติมเต็มทั้งเงินทุน ระบบบริหารจัดการ และเครือข่ายทำเลในห้างสรรพสินค้า ทำให้ลัคกี้สุกี้พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาอย่างก้าวกระโดดสู่ 100-120 สาขาภายใน 3 ปี เพื่อท้าชนคู่แข่งรายใหญ่
โดยสรุป ภาพรวมของตลาดสุกี้ไทยจะเป็นการขับเคี่ยวกันด้วยการเร่งขยายสาขาและกลยุทธ์ราคา โดยเฉพาะการเข้ามาของกลุ่มทุนใหญ่อย่าง CRG ในลัคกี้สุกี้ ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิการแข่งขันให้สูงขึ้น ส่งผลให้ MK ต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์และรักษาฐานลูกค้า ส่วนตี๋น้อยและลัคกี้สุกี้จะต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าตลาดในกลุ่มบุฟเฟต์ราคาคุ้มค่า
7. T-Beauty เฉิดฉาย บิ้วตี้ไทยครองใจ Gen Z ตีตลาดโลก

ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการความงามไทย เมื่อกระแส “T-Beauty” ก้าวขึ้นมามีบทบาทโดดเด่นแทนที่ K-Beauty หรือ J-Beauty ส่งผลให้แบรนด์เครื่องสำอางไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดและได้รับการยอมรับในระดับสากล ข้อมูลจาก Krungthai Compass เผยว่าจำนวนผู้ประกอบการแบรนด์ไทยเพิ่มขึ้นกว่า 105% ทะลุ 10,000 แบรนด์ และมูลค่าตลาดรวมในปีนี้ทะยานสู่ 400,000 ล้านบาท
ในด้านการส่งออกยังมีทิศทางที่สดใส โดยคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องราว 10-12% ในช่วงปี 2025-2026 ตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน จีน และออสเตรเลีย โดยมี “สกินแคร์” เป็นสินค้าเรือธงที่ครองสัดส่วนตลาดสูงสุดถึง 84% ตามมาด้วยกลุ่มแป้งและลิปเมคอัป สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าไทยที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก
สำหรับเทรนด์ผู้บริโภคในปี 2025 พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับ “ความสวยในแบบของตัวเอง” และ “Longevity” หรือความงามที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมการซื้อยังเน้นความสะดวกรวดเร็วแบบไร้รอยต่อ และกว่า 80% ตัดสินใจซื้อสินค้าตามคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งกลุ่มเครื่องสำอางครองแชมป์สินค้าที่ถูกซื้อตามมากที่สุด
มองไปข้างหน้าสู่ปี 2026 เทรนด์ “Clean Beauty” และ “Holistic Wellness Beauty” จะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ โดยตลาด Clean Beauty ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตสูง ผู้บริโภคจะใส่ใจความปลอดภัยของส่วนผสมและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำบัดและสร้างความผ่อนคลาย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกระแสรักสุขภาพ
โดยสรุป ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งนับหมื่นราย การมีสินค้าดีเป็นเพียงใบเบิกทาง แต่ทางรอดที่ยั่งยืนสำหรับแบรนด์ไทยคือการสร้างตัวตนที่ชัดเจน (Brand Identity) และการปรับตัวเข้าสู่เทรนด์ความยั่งยืนและสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณค่าแบรนด์ให้เหนือกว่าสงครามราคา และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
8. “Live เจนนี่” ปรากฏการณ์สนามรบอีคอมเมิร์ซพันล้าน

ปรากฏการณ์ “Live เจนนี่ (รัชนก สุวรรณเกตุ)” ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการ Live Commerce ไทย ด้วยการทำลายสถิติไลฟ์มาราธอน 18 ชั่วโมง จนกวาดตระกร้ายอดขายทะลุหลักร้อยล้านบาทในเวลาอันสั้น เหตุการณ์นี้นอกจากสร้างความฮือฮาจนกลายเป็นไวรัลนานนับปสัปดาห์แล้ว ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพของการขายออนไลน์รูปแบบใหม่ที่สั่นสะเทือนวงการค้าปลีกไทยอีกด้วย
ในมุมมองอีคอมเมิร์ซ ความสำเร็จนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า “ยอดขายจริง” คือตัววัดผลที่สำคัญกว่ายอดผู้ติดตาม นำไปสู่จุดเปลี่ยนของโมเดลการจ้างงาน Influencer จากเดิมที่เน้นค่าตัว Fixed Rate ไปสู่ระบบแบ่งส่วนแบ่งยอดขาย Commission ซึ่งสร้างแรงจูงใจและวัดผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างโปร่งใสและแม่นยำ
ด้านกลยุทธ์โซเชียลมีเดีย เจนนี่ใช้ความเข้าใจในอัลกอริทึมของ TikTok อย่างลึกซึ้ง โดยเปลี่ยนกระแสดราม่าหรือความสนใจให้กลายเป็น Signal ผลักดันไลฟ์ให้เข้าถึงผู้คนมหาศาล ควบคู่กับการใช้เทคนิคไลฟ์ต่อเนื่องและการเชิญแขกรับเชิญเพื่อสร้างบรรยากาศ FOMO กระตุ้นให้ผู้ชมตัดสินใจซื้อทันที
ในมิติทางธุรกิจ เจนนี่เองก็สวมบท “Demand Validator” เป็นศูนย์กลางให้แบรนด์ SME จำนวนมากได้เข้าถึงลูกค้า ผ่านโมเดล Creator-led Marketing ที่ใช้ความน่าเชื่อถือและบุคลิกเฉพาะตัวเป็นจุดขายในการการันตีคุณภาพสินค้า ซึ่งแตกต่างจากการตลาดแบบเดิมที่แบรนด์เป็นผู้ควบคุม
โดยสรุป ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความเข้าใจธรรมชาติผู้บริโภค (Human Commerce) การใช้ประโยชน์จากอัลกอริทึม และความเป็นนักขายมืออาชีพ ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้แบรนด์ยุคใหม่ตระหนักว่า กุญแจสู่ความสำเร็จคือการสร้าง “ความจริงใจ” ผสานกับกลยุทธ์ข้อมูลที่เฉียบคม
9.บทเรียนธุรกิจ “หงส์ไทย-ดุสิต-เนสท์เล่” ดราม่าที่ต้องจดจำ

อีกหนึ่งเรื่องที่ถือเป็นเหตุการณ์ต้องจับตามองในแวดวงธุรกิจ กับมรสุมที่พัดถาโถมธุรกิจไทยจนเกิดเป็นดราม่า เริ่มจากตำนาน “ยาดมหงส์ไทย” สินค้าสามัญประจำบ้านที่สร้างปรากฏการณ์จากเงินลงทุนเพียง 200 บาท สู่ยอดขายถล่มทลายกว่า 300 ล้านบาท ยิ่งเมื่อความต้องการสูงจึงมีการเร่งรีบผลิตเพื่อรองรับปปริมาณความต้องการจนละเลยมาตรฐาน นำไปสู่การที่ อย. ตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนและปัญหาการต่อเติมโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต กลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญให้กับหลายธุรกิจ
ขยับมาที่ย่านกลางกรุงอย่าง “ดุสิตธานี” แลนด์มาร์คระดับตำนานที่ต้องปรับเปลี่ยนตามการเปลี่ยนแปลงภายใต้โครงการมิกซ์ยูส “Dusit Central Park” มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ลำพังเสียงวิจารณ์อาจไม่มีผลอะไร แต่การเปิด “ศึกใน” ที่เป็นความขัดแย้งภายในระหว่างผู้ถือหุ้นในกลุ่มชนัตถ์และลูกทำให้เป็นที่จับตามอง โดยเป็นผลมาจากตัวเลขขาดทุนมหาศาลระหว่างการก่อสร้าง แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างโครงสร้างผู้ถือหุ้นยังไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงเดินหน้าต่อจนโครงการแล้วเสร็จ
แต่ในปี 2025 เรื่องดราม่าที่หลายคนติดตามและให้ความสนใจคงต้องยกให้ กรณีการไม่ลงรอยของ “Nestle – มหากิจศิริ” ที่เคยร่วมกันสร้างตำนานกาแฟถ้วยโปรดของคนไทย แต่เมื่อถึงจุดแตกหักที่ไม่มีวันหวนคืน สัญญาที่เคยเป็นเหมือนความสัมพันธ์ก็ต้องสะบั้นลง ด้วยการฟ้องร้องมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท รุนแรงถึงขั้นต้องให้อำนาจศาลตอบโต้กันไปมา โดยทั้ง 3 เรื่องดราม่าในแวดวงธุรกิจถือเป็นกรณีศึกษาการทำธุรกิจได้อย่างดี
10. Netflix ซื้อ Warner Bros. Discovery ดีลสะเทือนโลกสตรีมมิง

หนึ่งในดีลระดับโลกที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงในปี 2025 คือการที่ Netflix ประกาศเข้าซื้อกิจการ Warner Bros. Discovery ซึ่งรวมถึงคลังคอนเทนต์ระดับตำนานอย่าง HBO ดีลนี้เป็นการควบรวมธุรกิจมูลค่ามหาศาล และสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมสตรีมมิงที่กำลังเข้าสู่ช่วงอิ่มตัวอย่างชัดเจน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สงครามสตรีมมิงถูกขับเคลื่อนด้วยการทุ่มงบสร้าง Original Content เพื่อแย่งชิงผู้ชม แต่เมื่อจำนวนผู้สมัครสมาชิกเริ่มเติบโตช้าลง ขณะที่ต้นทุนการผลิตคอนเทนต์พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง แพลตฟอร์มรายใหญ่จึงเริ่มหันมาใช้กลยุทธ์ซื้อความได้เปรียบ ผ่านการควบรวมกิจการแทน การที่ Netflix ได้ครอบครอง IP, Franchise และคลังคอนเทนต์คุณภาพระดับโลกของ Warner Bros. Discovery ทำให้บริษัทมีอำนาจต่อรองและความได้เปรียบในตลาดอย่างที่คู่แข่งรายอื่นยากจะตามทัน
อย่างไรก็ตาม ดีลนี้ก็จุดกระแสความกังวลด้านการผูกขาดในหลายประเทศ เนื่องจากอำนาจการควบคุมคอนเทนต์จำนวนมหาศาลอาจส่งผลให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง และเปิดช่องให้แพลตฟอร์มรายใหญ่กำหนดเงื่อนไขทางธุรกิจได้มากขึ้น ทั้งในฝั่งผู้ผลิตคอนเทนต์และผู้บริโภค
สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ดีลนี้ส่งสัญญาณสำคัญไปยังผู้ผลิตคอนเทนต์ท้องถิ่นว่า เกมการแข่งขันกำลังเปลี่ยนไป แพลตฟอร์มระดับโลกจะมีอำนาจคัดเลือกและต่อรองสูงขึ้น การพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียวอาจกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาว ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตที่สามารถสร้าง IP แข็งแรง มีฐานผู้ชมชัดเจน และมีศักยภาพในการต่อยอดข้ามแพลตฟอร์ม จะยิ่งมีมูลค่าในสายตาของผู้เล่นระดับโลกมากขึ้น
ดีล Netflix–Warner Bros. Discovery จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดสตรีมมิงกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ผู้เล่นน้อยลง แต่อำนาจเข้มข้นขึ้น และเป็นบทเรียนสำคัญให้ทั้งแพลตฟอร์ม แบรนด์ และผู้ผลิตคอนเทนต์ไทยต้องเตรียมกลยุทธ์รับมือกับสมการใหม่ของอุตสาหกรรมในปี 2026 อย่างจริงจัง
การก้าวเข้าสู่ปี 2026 ถือเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งครั้งสำคัญของภาคธุรกิจไทย ที่ต้องรับมือกับ “ความไม่แน่นอน” ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ขณะเดียวกันสมรภูมิการค้าก็จะดุเดือดไม่แพ้ปี 2025 อย่างแน่นอนดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องมีในปี 2026 ก็คือการสร้าง “ความยืดหยุ่น (Resilience)” เพื่อรับแรงกระแทก ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี และขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความจริงใจไปพร้อมๆกับกลยุทธ์ข้อมูลที่แม่นยำ เพราะในปีหน้าหนีไม่พ้นที่เราจะเจอกับทั้งวิกฤตและโอกาสที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกันไม่ต่างกับปีนี้แน่นอน
