หลังจากลองสินค้าสายบิวตี้นับไม่ถ้วน ตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหมื่น ‘ไอซ์-ภาวิดา ชิตเดชะ’ หรือ “ไอซ์ พาดี้” พบกับเพนพอยต์สำคัญที่ยังไม่มีใครแก้ไข
“ทำไมของน่ารักๆ ต้องคุณภาพไม่ค่อยดี แล้วของที่คุณภาพดี กลับไม่น่ารักเลย ทำไมต้องได้อย่างเสียดาย”
ความคิดเล็กๆ นี้เองที่จุดประกายให้ไอซ์ตัดสินใจก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในฐานะเจ้าของแบรนด์ ‘Happy Sunday’ แบรนด์เครื่องสำอาง-ไลฟ์สไตล์ที่ตั้งใจรวมทั้งความน่ารัก และคุณภาพไว้ในชิ้นเดียว เพราะตัวคุณไอซ์เองมีความสุขเสมอที่ได้แต่งหน้า แต่งตัว ดูแลตัวเองให้สวย จึงอยากให้คนที่มีอินเนอร์เดียวกันได้มีความสุขไปด้วยกัน
แน่นอนว่าการทำธุรกิจเป็นเรื่องท้าทาย แต่กลับท้าทายขึ้นไปอีก เมื่อนอกจากบทบาทเจ้าของแบรนด์แล้ว คุณไอซ์ยังเป็นทั้ง ‘คุณแม่’ และ ‘อินฟลูเอนเซอร์-คอนเทนต์ครีเอเตอร์’ ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจผ่านโลกโซเชียลอยู่เสมอ
การต้องสวมหมวกหลายใบในเวลาเดียวกัน กลายเป็นโจทย์ที่ทำให้ไอซ์มองธุรกิจไม่เหมือนใคร การเดินทางของ Happy Sunday จึงเต็มไปด้วยสีสัน ความกล้าคิดต่าง และความสนุกสนาน จนกลายเป็นแบรนด์ไทยไม่กี่รายที่ได้คอลแลปกับดิสนีย์ ซึ่งได้รับการติดต่อจากดิสนีย์โดยตรง แล้วอะไรล่ะ? คือกลยุทธ์เบื้องหลังที่ขับเคลื่อนแบรนด์ Happy Sunday มาตลอด 7 ปี
‘Happy Sunday’ เหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่ง
เพราะเราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันในแต่ละวัน การจะดูแลทั้งครอบครัว ไปกับธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับคุณไอซ์มองว่า แบรนด์ Happy Sunday เป็นเหมือนลูกอีกคนที่ต้องดูแล ซึ่งเป็นชาเลนจ์ของคนเป็นแม่ว่า จะทำอย่างไรเพื่อแบ่งเวลา ความรักให้ลูกทุกคนได้เท่ากัน
การ ‘Shift’ ตัวเองเพื่ออยู่ให้ทันในทุกจังหวะที่ลูกต้องการ คือสิ่งที่คุณไอซ์ยึดมั่นมาตลอด ไม่ว่าลูกคนโตอย่าง Happy Sunday จะต้องการการตัดสินใจในจังหวะสำคัญ หรือในวันที่ลูกคนเล็กต้องการความดูแลเป็นพิเศษ คุณไอซ์พร้อมโชว์อัพในที่ที่จำเป็นเสมอ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความท้าทายของการเป็นผู้หญิงหลายบทบาท ไม่ใช่การแข่งขันกับเวลา แต่คือการเลือกใช้เวลานั้นให้เต็มที่กับทุกสิ่งที่รัก โดยเชื่อว่าสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้ ทั้งงาน ครอบครัว และความฝัน
“ทุกคนเป็นลูกของไอซ์ และคนเป็นแม่มีหน้าที่ต้องแบ่งเวลาให้ลูกเท่าๆ กัน ถ้าให้เลือกระหว่างงานกับลูก ไอซ์จะเอาทุกอย่าง และจะทำให้ดีด้วย”
‘Happy Sunday’ พื้นที่สำหรับมุมเล็กๆ ในใจ เพราะเราทุกคน ‘เคยเป็นเด็ก’
“ที่ Happy Sunday สีสันสดใสมากๆ เพราะอยากให้ทุกคนรู้สึกเหมือนโดนสาดความสุขเข้าไป”
แม้เทรนด์สียอดนิยมที่คนส่วนใหญ่มักใช้เลือกเครื่องแต่งกาย กระเป๋า รองเท้า กระทั่งเคสโทรศัพท์ในยุคนี้จะเป็นโทนขาว-ดำ หรือสีเอิร์ธโทนที่สะท้อนความสุขุม นิ่ง หรูหรา และแม้กลุ่มชาวสีสันคัลลเลอร์ฟูลจะน้อยกว่า แต่ Happy Sunday จะเป็นเหมือนเพื่อนที่จับมือสดใสไปด้วยกัน
“หากมองออกไปนอกโลกแล้วมองกลับเข้ามา แน่นอนว่าเราคงเห็นคนใส่เสื้อสีขาวดำเต็มไปหมด และคนแต่งตัวสีสันกระฉูดคงมีน้อยนิด แต่พวกเขาไม่ได้ผิดนี่ 7 ปีที่ทำ Happy Sunday มา ไอซ์อยากทำให้แผ่นดินชาวสีสันตรงนี้มันแข็งแกร่ง”
โดยคุณไอซ์เล่าว่า เมื่อเราโตขึ้น เรามีความรับผิดชอบมากขึ้น มีกรอบการใช้ชีวิตที่เบียดอัดเข้ามาจนแน่นรอบด้าน ต่างจากวัยเด็กที่เราอิสระ และแสดงความสดใสออกมาจากใจได้จริงๆ แต่วันนี้แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว เชื่อว่ามุมนึงในใจแม้จะเล็กแค่ไหน เรายังมีเด็กคนนั้นอยู่ข้างในเสมอ Happy Sunday คือแบรนด์ที่จะเป็น Playgroud ให้ทุกคนกลับไปเป็นเด็กได้เสมอ ไม่ต้องเก่งอยู่ตลอด
‘We Stand for the Rainbow!’ การสื่อสารกับชาวคัลเลอร์ฟูล ท่ามกลางโลกที่ขาว-ดำครอง

สำหรับแบรนด์ Happy Sunday กลุ่มเป้าหมายคือช่วงอายุ 25-34 ปี แม้กระแสธุรกิจวันนี้เล็งเป้าไปที่กลุ่มคน Gen Z เป็นหลัก โดยคุณไอซ์เล่าให้ฟังว่า เพราะแบรนด์เกิดขึ้นมาในช่วง Gen Y เหมือนกับคนที่โตมาพร้อมกัน จึงอยากให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้ก่อนเพราะเข้าใจกันมากกว่า ในขณะที่กลุ่ม Gen Z ยังเป็นกลุ่มที่ทางแบรนด์ต้องศึกษาเพิ่มเติม
“เราทำธุรกิจวันแรก เราไม่รู้หรอกว่ามันจะไปโดนเส้นใคร แต่ปรากฎว่าเป็นกลุ่มคนเจนนี้ กลุ่มวัยทำงานนี่แหละที่ชอบของเรามากๆ แล้วเหนียวแน่นหนึบ เพราะการทำงานมันเหนื่อย ความคัลเลอร์ฟูลนี่แหละที่จะเยียวยาจิตใจ แต่ช่วงนี้เริ่มเปิดใจถึงการขยายฐานลูกค้า และธีมเหมือนกัน”
คุณไอซ์มองว่าในฐานะแบรนด์ธุรกิจ อยากเข้าให้ถึงคนทุกกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว มีแผนที่จะขยายฐานช่วงอายุของลูกค้า พร้อมมองถึงโทนสีขาว-ดำว่าเป็นสีสร้างความสุขให้ผู้คนได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการจะเสริมแกร่งให้กลุ่มคัลเลอร์ฟูล และกลุ่มฐานลูกค้าเดิมแข็งแรงก่อน เพราะส่วนตัวไม่อยากทิ้งใคร ก่อนจะกระโดดไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ ทั้งยังแง้มอีกว่าในสองปีนี้อาจมีความเปลี่ยนแปลงของแบรนด์มาให้เห็นกัน
Brand DNA แข็งแกร่ง จน ‘Disney’ ติดต่อมาขอ Collab ด้วย
“ตอนนั้นเราก็สดใสของเรา แล้วดิสนีย์ติดต่อเข้ามา ซึ่งไอซ์เป็นคนที่เติบโตมากับดิสนีย์อยู่แล้ว เกิดเป็นการ ‘Yes! Deal’ ที่ตอบตกลงทันที”
แม้การคอลแลปร่วมกันระหว่าง Happy Sunday และ Disney จะเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สร้างอิมแพคจนทำให้แบรนด์ Happy Sunday เป็นที่รู้จักในวงกว้างคือ ‘Happy Sunday x Toy Story’ ซึ่งเป็นการคอลแลปครั้งแรก ที่แม้จะต้องเผชิญกับช่วงโควิดจนทำเอาคุณไอซ์กุมขมับ แต่แคมปเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทั้งด้านยอดขาย ควบคู่การรับรู้แบรนด์
สำหรับ Toy Story เป็นการ์ตูนอนิเมชันยอดฮิต จากสตูดิโอ ‘PIXAR’ ในเครือ Disney โดยมีเนื้อเรื่องเล่าถึง ‘ของเล่น’ ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพอันอบอุ่น พร้อมเชื่อมโยงกับวัยเด็กของทุกคนได้เป็นอย่างดี ทำให้คุณไอซ์ไม่ลังเลที่จะเลือกคอลแลปกับอนิเมชันเรื่องนี้ แม้ในช่วงนั้นจะไม่ได้มีกระแสอะไร แต่เพราะเข้ากับ DNA ของ Happy Sunday ได้อย่างดีมากเท่านั้นเลย
“แบรนด์เราไม่ได้เป็น Feminine ขนาดนั้น ไม่ได้จับแค่กลุ่มผู้หญิง แบรนด์เราเป็น Toy Story เป็นแบรนด์สนุกๆ ที่อยากเป็นพื้นที่วัยเด็กให้ทุกคน”
โดยล่าสุดในปี 2025 นี้ ทางแบรนด์ Happy Sunday เตรียมจะคอลแลปครั้งใหญ่กับ Disney อีกครั้ง กับโปรเจค Zootopia ที่กำลังจะฉายภาคสอง ทางคุณไอซ์แง้มแค่ว่าให้ติดตามรอช่วงสิ้นปี ซึ่งเป็นช่วงที่ Zootopia 2 จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์พอดี ซึ่งจะมีคอลเลกชันใหม่ทั้งฝั่งบิวตี้ และไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงโปรดักต์ใหม่ที่ Happy Sunday ยังไม่เคยมีมาก่อนด้วย
‘Happy Sunday ก็คือครีเอเตอร์คนหนึ่งที่สร้างเรื่องราวของตัวเองต่อไปได้’
ในฐานะ ‘CEO-Creator’ คำถามสำคัญที่มักเจอบ่อยคือ ถ้าตัว CEO ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ไม่อยู่ หรือไม่ได้เป็น Speaker ของแบรนด์อีกแล้ว แบรนด์จะอยู่รอดได้ด้วยตัวเองไหม สำหรับ Happy Sunday คุณไอซ์สามารถตอบได้อย่างชัดเจนเลยว่า ‘อยู่ได้’ เพราะคุณไอซ์มองว่า ทุกวันนี้ ‘Happy Sunday’ เป็นเหมือน ‘ครีเอเตอร์’ คนหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองได้ไม่รู้จบ
“Make everyday your Happy Sunday, We seriously care about your happiness”
“ไอซ์รู้สึกว่าแบรนด์ดิงสำคัญที่สุด เมื่อ Core Identity ของแบรนด์มันแข็งแรง มันจะเล่าออกมาเอง”
แต่อีกสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้คือ ‘ทีมงาน’ คุณไอซ์มองว่าต่อให้เก่งแค่ไหน ตัวคนเดียวไม่สามารถพาแบรนด์ไปได้ไกลนัก สิ่งสำคัญคือต้องมีทีมที่เชื่อ และทำไปด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญมากๆ ที่ทำให้ Happy Sunday เติบโตสู่ปีที่ 7 ได้
3 หลักคิดทำธุรกิจแบบ ‘ไอซ์ พาดี้’
-
ตัวเราคือ ‘ต้นทุน’ ที่ถูกที่สุด
สำหรับคุณไอซ์เอง วันที่ลงมือทำคลิปแรกๆ ไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีคนดูเป็นแสน สิ่งที่ทำคือเชื่อในสิ่งที่รัก ตั้งใจผลิตคอนเทนต์ด้วยตัวเองทุกขั้นตอนบนความชอบของตัวเอง แบรนด์ Happy Sunday ก็เกิดจากพลังที่อยากจะส่งต่อสีสันแห่งความสุขให้ผู้คน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้คุณไอซ์เชื่อในตัวเอง และต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเจอกับอะไรระหว่างทาง
-
ตัวผู้ประกอบการต้องเป็นเหมือนไฟที่ลุกอย่าง ‘ต่อเนื่อง’
เจ้าของธุรกิจเปรียบเสมือนไฟกองใหญ่กลางทีม หากไฟใจเจ้าของลุกโชน พลังนี้จะส่งต่อถึงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือแม้แต่ลูกค้าที่จับต้องได้ถึงความอบอุ่นและความตั้งใจ แต่ไฟนี้ต้องลุกต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ลุกแล้วดับในสองสามวัน ความท้าทายจริงๆ ของเจ้าของธุรกิจคือการรักษา “ความต่อเนื่อง” เอาไว้ให้ได้ในทุกวัน แม้จะเหนื่อย ท้อ หรือพบปัญหา
-
ความสำเร็จต้องใช้เวลา แต่ทุกวันคือการเตรียมพร้อม
“บนเส้นทางธุรกิจ แม้เราอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จในทันที แต่ทุกวันที่เราตั้งใจเดิน คือการเตรียมพร้อมรับวันที่เราจะประสบความสำเร็จในวันข้างหน้า”
คุณไอซ์มองว่า ต่อให้เราเป็นคนโชคดี มีพลังดวงดาวหรือโอกาสเข้ามามากแค่ไหน แต่หากไม่ได้ลงมือทำ หรือไม่ขยันเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันที่โอกาสมาถึง สุดท้ายแล้วความโชคดีก็ไร้ความหมาย เพราะความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของโชคเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างโอกาสด้วยความพยายามและการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายนี้ คุณไอซ์เผยถึงการเปิดตัวเว็บไซต์ของแบรนด์ Happy Sunday อย่างเป็นทางการ เพื่อเสริมแกร่ง community ของแบรนด์ ผ่านระบบเมมเมอร์ชิป เพราะอยากตอบแทนลูกค้าที่อยู่ด้วยกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าจะใช้เม็ดเงิน และเวลาในการพัฒนาอย่างยาวนาน โดยจะเริ่ม Launch ในเดือนกันยายนปี 2025 นี้
ตลอดเส้นทาง 7 ปีของ Happy Sunday คุณไอซ์ พาดี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากโชคชะตา หรือสูตรสำเร็จ แต่เกิดจากความศรัทธาในสิ่งที่ทำ การกล้าสร้างความแตกต่าง ไปจนถึงความต่อเนื่องที่ไม่เคยดับ แม้จะต้องสวมหมวกหลายใบในแต่ละวัน เชื่อว่าในอนาคตเพลกราวด์สำหรับชาวคัลเลอร์ฟูลแห่งนี้จะเติบโต และขยายใหญ่ออกไปอย่างแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน