ในยุคนี้เรียกการทำโฆษณานั้นเริ่มเข้ามาสู่จุดที่เรียกได้ว่า ทำโฆษณาได้ยากมากขึ้นจริง ๆ โดยเฉพาะโฆษณาที่เป็นรูปแบบ TVC ต่าง ๆ นั้นเรียกได้ว่าถ้าทำไม่ดีนี้ แทบไม่มีใครสนใจเลยเช่นกัน แถมจะมาทำในรูปแบบได้ Brand Awareness เฉย ๆ ก็ไม่พอ จะทำให้ขายอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่ต้องทำให้เกิดการ Talk เพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้คนทำโฆษณาในยุคนี้ทำอะไรแบบเดิม ๆ ไม่พออีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ในคนทำโฆษณา TVC หลาย ๆ ที่คือการยังไม่ปรับตัวเข้าใจในผู้บริโภค และยังคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นยังใช้ได้อยู่และควบคุมกระแสของการสื่อสารทางการตลาดได้อยู่ แต่หารู้ไหมว่าผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงจนคนทำโฆษณาเหล่านี้ตามไม่ทันแล้ว และกำลังก้าวข้ามไปอีกขั้นอีกต่างหาก ซึ่งทำให้การทำโฆษณาที่กำลังพัฒนามาทำ Storytelling แบบตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่ต้องเพิ่มเข้ามาในยุคนี้ของการทำโฆษณาคือการเข้าใจบริบทของสังคมที่เพิ่มขึ้นต่อมาจาก Consumer Insight
ในยุคที่เวลาผู้บริโภคมีอย่างจำกัดในยุคนี้ และความสนใจของผู้บริโภคที่เหล่าแบรนด์แย่งกันที่จะดึงความสนใจมา จนถึงที่ผู้บริโภคไม่ได้แคร์แบรนด์ที่ไม่ได้สนใจผู้บริโภคเลย ไม่ว่าจะทำ consumer insight มาดีแค่ไหนก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทำให้แบรนด์เติบโตและเกิดความสนใจในผู้บริโภคขึ้นมาได้ นั้นคือการเข้าใจบริบทของสังคมว่ากำลังต้องการอะไรและมีทิศทางไปทางไหน แบรนด์ที่ทำโฆษณาและแบรนด์แคมเปญที่ผูกกับเรื่องบริบทของสังคมย่อมทำให้แบรนด์นั้นเกิดการตลาดที่ได้ผลขึ้นมา แถมยังทำให้อยู่ในใจหรืทำให้ผู้บริโภคคิดถึงได้ง่ายมากกว่าการที่จะใช้ consumer insight อย่างเดียว ซึ่งการนำบริบทของสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องนี้สามารถแสดงออกได้หลาย ๆ ทาง ไม่ว่าจะสร้างเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสังคมนั้น หรือใช้ตัวแทนของกลุ่มสังคมนั้นขึ้นมาเพื่อสร้างการสือสารทางการตลาดต่อไป ทั้งนี้เพื่อที่จะเข้าใจบริบททางสังคมและสร้าง Ad Campaign ที่ตรงกับความต้องการของสังคม วันนี้จึงมีหนนทาง 4 ขั้นที่จะช่วยขึ้นมา
1. การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในกลุ่มสังคมนั้น : สิ่งหนึ่งที่จะสามารถทำความเข้าใจกลุ่มสังคมหรือบริบทของสังคมขึ้นมา คือการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีความเข้าใจของสังคมนั้น ๆ ขึ้นมา ซึ่งอาจจะเป็นการจ้างเข้ามาเป็นที่ปรึกษาหรือทำงานร่วมกันชั่วคราว ในหลาย ๆ เอเจนซี่ในต่างประเทศนั้นถึงขั้นมีแผนก Socialogy เพื่อทำการศึกษารูปแบบสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม การมีผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจสังคมนั้นสามารถให้คำปรึกษาหรือชี้แนะแนวทางที่จะสามารถเอาเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมมาช่วยปรับให้ Ad Campaign ต่าง ๆ นั้นดีขึ้นได้หรือตรงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ ข้อดีนอกจากนี้ยังได้คนที่เป็นบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการคิดงานครีเอทีฟต่าง ๆ และมองในมุมมองผู้บริโภคที่จะถูกสื่อสาร มาให้ความเห็นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นถูกต้องไหม ย่อมทำให้งานดีขึ้น ทำให้เกิดความหลากหลายของการทำงาน ซึ่งในยุคนี้การมีคนกลุ่มเดียวกันหรือ monodiscipline นั้นกลายเป็นเรื่องโบราณแล้วในบริษัท
2. เอาตัวเข้าไปอยู่ในสังคมนั้น : การที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น การเข้าใจผู้บริโภคอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องเข้าใจทิศทางสังคมด้วยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ทำให้เข้าใจว่าสังคมกำลังต้องการอะไร ทำให้รู้ชีวิตประจำวันของสังคมนั้น ๆ และเข้าใจว่าจะทำการตลาดหรือ Ad Campaign แบบไหนต่อไปเพื่อที่จะจับความรู้สึกของบริบทสังคมโดยรวมขึ้นมาได้ ลองนึกถึง Campaign ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผู้หญิง อย่าง Fearless Girl ที่จับกระแสสังคมในเรื่องสิทธิสตรีขึ้นมาและสร้าง Campaign ที่ Impact ต่อสังคมขึ้นมาได้อย่างมาก
3. ทำการค้นคว้าและวิจัย : การรวบรวมข้อมูลและการทำวิจัยอื่น ๆ จากเอกสารทางวิชาการก่อนที่จะสร้าง Concept และการเทสไอเดียออกมา ด้วยการเอาข้อมูลพวกนี้มาผสมผสานจะทำให้คนทำ Ad Campaign สามารถเข้าใจจิตวิทยาทางสังคมและพฤติกรรมทางสังคมที่สามารถเอามาปรับใช้ได้ในการทำ Ad Campaign ให้ตรงใจผู้บริโภคได้อีกมากมาย ซึ่งการที่จะรู้ว่าโดนใจผู้บริโภคหรือไม่ก็ต้องมาทำวิจัยและค้นคว้าอีกรอบแต่คราวนี้ทำโดยการทดสอบในรูปแบบ Scale เล็ก ๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ทำนั้นมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ถ้าคุณทำถูกบริบทสังคมแล้วละก็ ย่อมทำให้ยอดขายหรือกระแสของแบรนด์นั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
4. เอาใจเขามาใส่ใจเรา และ จงอ่อนน้อมถ่อมตน : สิ่งสำคัญคือการทำ Ad Campaign ที่อิงบริบทสังคมนี้ไม่ใช่การที่คุณบอกว่า Campaign ของคุณดี แต่เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคนั้นบอกขึ้นมา ว่าแบรนด์ขึ้นจะเข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวันผู้บริโภคอย่างไร การมีอีโก้ที่คิดว่างานของตัวเองดีจนไม่ฟังใครและขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนในการฟังความเห็นคนอื่น ย่อมทำให้แคมเปญที่คิดมาหรือสิ่งที่กำลังทำนั้นพังได้โดยง่ายจากการไม่ฟังเสียงรอบข้างที่แนะนำ (เคยเจอครีเอทีฟบางที่ที่บอกว่าผู้บริโภคหรือสังคมไม่รู้อะไรเท่าเค้า) หรือทำอะไรที่ขัดกับกระแสสังคมขึ้นมา (ในทางที่ไม่ได้ดีขึ้น) ซึ่งหากฝืนทำออกไป ย่อมถูกโจมตีมาได้ง่ายอย่างมาก และสามารถทำให้แบรนด์นั้นพังได้ทันที