เวลาเราทำธุรกิจหรือทำการตลาดออกไปไม่ว่าจะบริษัทใหญ่ หรือเล็ก เป็น SME หรือเป็นกิจการเล็ก ๆ ส่วนตัว ย่อมคาดหวังการที่จะทำธุรกิจแล้วได้ผลทุกครั้งอยู่แล้ว หลาย ๆ คนนั้นวางแผนอย่างมากและทำการลงมือเพื่อที่จะให้แผนนั้นสำเร็จอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการวัดความสำเร็จนั้นสิ่งบ่งชี้ว่าการคิดทำกลยุทธ์ในการวางแผนในการทำธุรกิจและการตลาดนั้นได้ผล และนี้ก็ใช้ได้ด้วยกับการทำ Digital Marketing
การทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital มีวิธีการมากมาย ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซึ่งทำให้การวัดความสำเร็จหรือประสิทธิภาพว่ากลยุทธ์ทางการตลาดที่วางไว้ในการทำ Digital Marketing นั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ตัวตนขององค์กร สินค้าและบริการ กลุ่มเป้าหมาย ช่องทางการสื่อสาร ครีเอทีฟ แคมเปญและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย ด้วย Tactics ต่าง ๆ มากมายที่ทำงานควบคู่และประสานกันไป นักการตลาดที่ลงมือทำงานนั้นก็หวังว่าจะสามารถรักษากระแสหรือความสำเร็จนี้ได้ในระยะยาวไปได้ แต่ถ้าเกิดการวางแผนผิดหรือเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมามีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ฐานลูกค้าหรือ SOV ไปได้อย่างง่าย ๆ และเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่นักการตลาดหลาย ๆ คนชอบทำพลาดกันคือการทำแคมเปญใน Digital แล้วปล่อยทิ้งไว้จนถึงวันสุดท้ายเข้ามาดูผลว่าแคมเปญนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งนี้ทำให้สูญเสียโอกาสที่จะทำการ Optimise แคมเปญให้มีประสิทธิภาพอย่างมาก และเสียโอกาสที่จะทำให้แคมเปญดีขึ้นทุกวันอีกด้วย
การทำ Digital Marketing ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญคือการมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน และกลยุทธ์ที่จะทำให้วัตถุประสงค์ไปถึงเป้าหมายนั้นได้ถูกต้อง มีวิธีที่วัดผลที่ถูกต้องอีกด้วย ไม่งั้นจะกลายเป็นการทำงานเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล การมีเครื่องมือที่วัดผลให้ตรงกับวัตถุประสงค์นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อที่จะสามารถปรับปรุงกลยุทธ์หรือวิธีการให้เหมาะสมได้ ทั้งนี้นักการตลาดชอบวัดความสำเร็จต่าง ๆ ออกมาเป็น ROI ดังนั้นการมีเครื่องมือชี้วัดคามสำเร็จว่า ROI เท่าไหร่นั้นสามารถหาได้จากค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ
- การวัดเป้าหมายสำหรับ Conversion ว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นคือใครและจากไหน ซึ่งได้จากมาจาการเก็บข้อมูล contacts ต่าง แล้วทั้งพฤติกรรมที่เข้ามายังหน้าเว็บหรือเพจของเรานั้นเอง
- Reach วัดว่าการส่งข้อความหรือกิจกรรมทางการตลาดของเรานั้นไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากแค่ไหน และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นตลอดการทำงานได้อย่างไร
- Traffic วัดว่ามาจากแหล่งไหนบ้าง และจะทำให้เราสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดีขึ้นเพื่อดึง Traffic หรือเข้าไปปฏิสัมพันธ์จากแหล่งที่ Traffic นี้มาได้อย่างไร
- Leads ติดตามว่า traffic ที่ได้มานั้นเปลี่ยนเป็น Lead ได้กี่คน นี้คือสิ่งสำคัญที่คนทำงานหลาย ๆ คนมัวแต่สนใจ Traffic ว่ายิ่งมากยิ่งดี แต่ในความจริงคือการเปลี่ยน Traffic นั้นเป็น Lead ต่างหากที่สำคัญ ต้องหาทางว่าจะเปลี่ยนให้คนที่เข้ามานั้นเป็น Lead ได้อย่างไร
- Customer ติดตามว่า Lead นั้นเปลี่ยนเป็นลูกค้ากี่คน กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะสามารถทำให้เปลี่ยนลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก และสามารถสร้างให้ลูกค้านั้นกลับมาได้ด้วย
- Cost/Lead ค่าใช้จ่ายต่อการที่จะได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งคนนั้นมีมากแค่ไหน ยิ่งสามารถทำให้ราคานั้นต่ำลงเรื่อย ๆ ได้ นั้นแสดงว่ากำลังเดินทางมาถูกทางในการทำงาน อย่างมากเช่นกัน
ด้วยการทำความเข้าใจว่าเป้าหมายของการทำการตลาดผ่านดิจิทัลของตัวเองนั้นต้องการอะไร ย่อมทำให้การวางกลยุทธ์นั้นง่ายมากขึ้นและสามารถวางวิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมายได้ง่ายมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ก็มีวิธีการต่าง ๆ ที่จะปรับปรุงกลยุทธ์การทำ Digital Marketing ให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้ และตัวอย่างที่นิยมใช้ในปัจจุบันอย่างมากก็คือการทำ A/B Testing และวิธีการใหม่ ๆ อย่างเช่น Growth Hacking ที่นำมาใช้กัน เช่น การวางเป้าหมายที่มีสามารถสร้าง Targets ที่มีเป้าหมายที่ต่างกัน เพื่อดูว่าผลแต่ละเป้าหมายเป็นอย่างไร การเปรียบเทียบรูปแบบของการสื่อสารว่าแตกต่างกันใหม่หรือรูปแบบไหนที่สุด การเปรียบเทียบ Platform ที่ใช้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างที่ทำออกมาจะสามารถกลายเป็นผลที่ทำให้ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้ นอกจากการทำงานที่เปรียบเทียบจากการวัดผลแบบดังกล่าวแล้ว ยังมีวิธีวัดผลตรง ๆ อย่างการเข้าไปสอบถามความคิดเห็นของผู้ใช้งาน หรือเอาความคิดเห็นของผู้ใช้งานหรือลูกค้ามาทดลองทำการปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดตัวเอง โดยอาจจะใช้วิธีการทำการสำรวจ โฟกัสกรุ๊ป หรือการเข้าไปสอบถามยังผู้ใช้บริการผ่านแคมเปญต่าง ๆ ซึ่งก็สามารถทำให้ได้ผลตอบรับที่ดีเพราะเป็นการคิดที่อิงความต้องการของผู้บริโภคขึ้นมาเลย
ทั้งนี้กลยุทธ์ที่จะสำเร็จได้ ต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัด และโฟกัสไปเลย พร้อมกับมีมาตรวัดตอบโจทย์วัตถุประสงค์ที่วางเอาไว้ เพื่อที่จะเดินทางทำการตลาดให้ถูกต้องที่สุด
