สรุปปรากฏการณ์ “เจนนี่” ไลฟ์ร้อยล้าน แบบเข้าใจง่าย มุมบวก-ลบที่แบรนด์ต้องเข้าใจ

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

กลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่ทุกคนต้องพูดถึง สำหรับปรากฏการณ์ไลฟ์สดสะเทือนวงการของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ที่สร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดกับการดึงซูเปอร์สตาร์ตัวแม่ “อั้ม พัชราภา” มาร่วมไลฟ์ จนมียอดผู้ชมทะลุ 1.2 ล้านคน และสร้างยอดขายกว่า 60 ล้านบาทในเวลาไม่กี่สิบนาที

บทความนี้ Marketing Oops! จะสรุปปรากฏการณ์ทั้งหมดให้เข้าใจง่ายๆ ตั้งแต่ที่มา เคล็ดลับเบื้องหลัง ไปจนถึงความเสี่ยงที่แบรนด์ต้องรู้

จากดราม่าครอบครัวสู่ไลฟ์ประวัติศาสตร์

จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ไลฟ์ร้อยล้านนี้ ไม่ได้เกิดจากการวางแผน แต่เกิดมาจาก วิกฤตดราม่าครอบครัว ที่ร้อนระอุไปทั้งโซเชียล ประเด็นปัญหาเรื่องหนี้สินระหว่างเจนนี่และคุณแม่ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามอง

แต่ครั้งนี้ แทนที่จะปล่อยให้วิกฤตบานปลาย เจนนี่กลับทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เธอตัดสินใจใช้พื้นที่โซเชียลของตัวเองเป็นเวทีชี้แจง และพลิกสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด โดยใช้กระแสความสนใจที่ผู้คนกำลังจับจ้องมาเป็นแรงส่งในการไลฟ์สดขายของผ่าน TikTok แบบมาราธอนข้ามวันข้ามคืนทันที

การกระทำนี้ดึงดูดผู้ชมมหาศาลที่ติดตามข่าวอยู่แล้วให้เข้ามาดูไลฟ์ และเธอก็สามารถเปลี่ยนความสงสัย ความอยากรู้ และความสนใจเหล่านั้น ให้กลายเป็นยอดสั่งซื้อถล่มทลายได้อย่างน่าทึ่ง

เคล็ดลับธุรกิจเบื้องหลังไลฟ์ร้อยล้าน

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่เป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจแพลตฟอร์มและจิตใจคนดูอย่างลึกซึ้ง มันคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง “ศาสตร์” ของเทคโนโลยี และ “ศิลป์” ของการเป็นนักขาย

เจนนี่รู้ดีว่า AI ของ TikTok ไม่ได้ทำงานเหมือนแพลตฟอร์มอื่น มันไม่ได้สนใจแค่ยอดผู้ติดตาม แต่ฉลาดพอที่จะ “จำหน้าและเสียง” ได้ด้วย การที่เธอไลฟ์อย่างสม่ำเสมอจึงเปรียบเสมือนการสร้างความคุ้นเคยกับระบบ ทำให้ AI จดจำเธอได้และช่วยดันไลฟ์ให้คนเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ประกอบกับการ สร้างความต่อเนื่อง ไลฟ์แทบทุกวัน แม้วันไหนคนดูจะน้อย แต่ความขยันของเธอก็ทำให้ TikTok มองว่าเธอคือครีเอเตอร์คุณภาพที่พร้อมจะช่วยเหลือเสมอ

แต่กลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุด คือการ ดึงแม่เหล็กมาเจอกัน หรือที่เรียกว่า “Audience Collision” การเชิญคนดังระดับ A-List อย่าง หนุ่ม กรรชัย หรือ อั้ม พัชราภา มาร่วมไลฟ์ ก็เหมือนกับการนำฐานแฟนคลับของทั้งสองฝั่งมารวมกันในที่เดียว ทำให้ยอดผู้ชมพุ่งทะลุหลักล้านอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

ที่สำคัญ เจนนี่ไม่ได้กำลัง ขายของ แต่เธอกำลัง ขายความสนุก หรือที่เรียกว่า “Shoppertainment” เธอสร้างบรรยากาศในไลฟ์ให้เหมือนเทศกาลงานวัดที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เป็นกันเอง และมีความ “เรียล” สูงมาก ทำให้คนดูรู้สึกเพลิดเพลินจนลืมไปว่ากำลังถูกขายของ และตัดสินใจซื้อด้วยอารมณ์สนุกสนาน ซึ่งนี่คือหัวใจที่ทำให้คนอยู่ในไลฟ์นานขึ้น และเมื่อคนดูนานขึ้น TikTok ก็ยิ่งช่วยดันไลฟ์ให้ปังขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ เอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งสไตล์การพูด สำเนียง และเสียงหัวเราะที่เป็นธรรมชาติของเธอ คือสิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกผูกพัน รัก และจดจำเธอได้อย่างขึ้นใจ

ความเสี่ยงที่แบรนด์อาจต้องเจอ

แน่นอนว่าเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ แม้โมเดลนี้จะดูหอมหวานและสร้างยอดขายมหาศาล แต่ก็มีความเสี่ยงที่แบรนด์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นกัน

ประการแรกคือ ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ การผูกแบรนด์เข้ากับเจนนี่ซึ่งมีประเด็นดราม่าอยู่เสมอ อาจส่งผลกระทบต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว หากวันหนึ่งเกิดวิกฤตครั้งใหม่ แบรนด์ก็อาจถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้

ต่อมาคือเรื่อง ต้นทุนที่สูงมาก ทั้งค่าตัว ค่าคอมมิชชัน และส่วนลดต่างๆ ที่ต้องทุ่มลงไป อาจทำให้สุดท้ายแบรนด์แทบไม่เหลือกำไร หรืออาจจะ “ขาดทุน” เพื่อแลกกับการเป็นที่รู้จัก ซึ่งเป็นเกมที่ต้องใช้ทุนหนาและใจถึงจริงๆ

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะ ได้แค่ลูกค้าขาจร คนส่วนใหญ่อาจตัดสินใจซื้อเพราะกระแส หรือเพราะอยากสนับสนุนแขกรับเชิญอย่างอั้ม พัชราภา ไม่ได้ซื้อเพราะตัวแบรนด์โดยตรง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจไม่กลับมาซื้อซ้ำในราคาปกติ และปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ระบบหลังบ้านอาจล่ม ออเดอร์หลักแสนในเวลาสั้นๆ คือบททดสอบครั้งใหญ่ หากระบบสต็อก การแพ็กของ หรือการขนส่งจัดการไม่ดี จากความสำเร็จอาจกลายเป็นวิกฤตด้านความเชื่อมั่นได้ในพริบตา

สุดท้ายคือ กับดักของคนกลัวตกกระแส (FOMO) ที่อาจทำให้แบรนด์เล็กๆ ตัดสินใจทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการไลฟ์เพียงครั้งเดียวเพราะกลัวตกเทรนด์ และจบลงด้วยการขาดทุนหนักจนยากจะฟื้นตัว

ปรากฏการณ์ “เจนนี่โมเดล” คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งของการตลาดยุคใหม่ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่เข้าใจ “คนดู” และเข้าใจ “ระบบ” ของแพลตฟอร์ม คือผู้ชนะที่แท้จริง แต่สำหรับแบรนด์แล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนอาจไม่ใช่แค่การทำยอดขายสูงสุดในคืนเดียว แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างการเกาะกระแส และการสร้างคุณค่าของแบรนด์ให้เป็นที่รักของลูกค้าในระยะยาว


  •  
  •  
  •  
  •  
  •