เมื่อมากไม่ได้แปลว่าดีใน Social ทำโฆษณาผ่าน Social ต้องให้พอดี

  • 127
  •  
  •  
  •  
  •  

คุณรู้หรือไม่ การทำอะไรมาก ๆ ใน Social ไม่ได้หมายความว่าดี เพราะบางทีการทำอะไรน้อย ๆ นั้นดีกว่า และคุ้มค่าการลงแรงมากกว่าการทำอะไรเยอะ ๆ อีก นี้เป็นผลการวิจัยในการทำ Social media ว่าความถี่ในการเห็น Content หรือถ้านักการตลาดจะทำการ Boost Post ลงไปนั้น จะต้องใช้ความถี่แค่ไหนถึงจะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุดขึ้นมา โดยไม่ได้ให้ทำเงินที่ลงไปจ่ายค่าโฆษณานั้นเสียเปล่า

เมื่อ Agency รับงานดูแล Social Media ลูกค้ามา ทาง  Agency จะผลิตชิ้นงานลงไปอย่างมากมาย สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือการทำให้เนื้อหาที่ผลิตขึ้นมานั้นมีคนอ่านต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะทำการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณาให้เห็นเนื้องาน Content นั้น ๆ ขึ้นมา ซึ่งในความจริงแล้วด้วยความคิดของนักการตลาดย่อมอยากให้คนเห็นเยอะที่สุด มากที่สุด แต่ในความจริงแล้วการที่ทำมากนั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ได้ดีขึ้น ทั้งนี้นักการตลาดต้องเข้าใจในการทำกลยุทธ์ที่ต้องเชื่อมระหว่างการสร้างชิ้นงาน และการลงสื่อโฆษณา พร้อมกับ Concept ในเรื่อง Reach และ Frequency อีกด้วย ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจ Facebook และ Instagram กันก่อน หลาย ๆ แบรนด์นั้นทำการสร้างชิ้นงานมาและใช้ชิ้นงานนั้นทำการโปรโมทผ่าน Platform นี้ควบคู่กัน โดยคิดว่าผู้ใช้ทั้ง 2 Platform นั้นคือกลุ่ม audience เดียวกัน เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดที่จะทำให้โฆษณาที่ลงไปนั้นเข้าถึงและได้ผลได้ ในความเป็นจริงแล้วในส่วนของการทำ Media Performance นี้บริษัท Media Agency  จะเป็นผู้รับผิดชอบส่วนใหญ่ในการที่จะบอกว่าโฆษณาตัวหนึ่งใน Social Media นั้นควรจะต้องมีความถี่และเข้าถึงคนมากแค่ไหน (Reach และ Frequency) ซึ่งถ้าใครซื้อ Media เองจะสามารถเข้าใจหลักการได้ว่า ยิ่งความถี่สูงจะทำให้การเข้าถึงนั้นน้อยลง ทำให้คนทำ Strategy หรือ Communication planning และคนซื้อ Media นั้นควรนั่งคุยกันว่าอยากจะได้ความถี่เท่าไหร่ ที่จะทำให้แบรนด์นั้นเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ได้ทำให้เงินที่ลงไปนั้นเสียเปล่า หรือลงเงินไปเพิ่มขึ้นแต่กลับไม่ได้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นเลย

GRPs

จากการวิจัยของ Ehrenberg-Bass Institute และ CNBC นั้นได้ระบุว่า “โฆษณานั้นจะได้ผลอย่างสูงสุดเมื่อผู้บริโภคเห็นโฆษณามากกว่า 1 ครั้ง และเมื่อจำนวนมากขึ้น ผลกระทบที่ได้จะลดลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายนั้นจะไม่ได้ผล (Wind and Sharp, 2009) การที่จะทำให้ media mix ผ่าน platform ต่าง ๆ ที่ได้ผลต้องทำให้เข้าถึงคนมากขึ้นโดยไม่ได้ทำให้เสียเงินไปเปล่า ๆ โดยการทำให้คนเดิม ๆ นั้นเห็นโฆษณานั้นซ้ำไป ซ้ำมา ด้วยสื่อโฆษณาเดียวกัน ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น การทำให้ audience กระจายตัวขึ้นเรื่อย ๆ นั้นคือการทำสื่อโฆษณาที่ดี”ทั้งนี้ตรงนี้หมายถึงการทำสื่อโฆษณานั้นต้องดูความสมดุลระหว่างความถี่และการเข้าถึงคน (Reach และ Frequency) เพราะการมีความถี่มากเป็นการสิ้นเปลืองเงินมากขึ้นไปอีกแถมทำให้ได้ Reach ที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากนี้การมีชิ้นงานที่ต้องโปรโมทมากเกินไปก็ทำให้ความถี่นั้นเพิ่มสูงขึ้น และ ลดจำนวนการเข้าถึงลงอีกด้วย ทำให้ขนาด Audience นั้นถูกจำกัดและมีผลต่อการเติบโตของแบรนด์ เพราะฉะนั้นการมีจำนวนชิ้นงานที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไปนั้นคือส่วนสำคัญอย่างมาก

Screen Shot 2560-05-14 at 7.12.03 PM

เมื่อรู้จำนวนชิ้นงาน ก็มาดูที่งบประมาณที่จะลงโฆษณา และวิเคราะห์จำนวนงบประมาณที่จะลงโฆษณากับจำนวนชิ้นงานที่มี ซึ่งนี้ด้วยจำนวนชิ้นงานที่น้อย ทำให้คุณบริหารจัดการความถี่ได้ง่ายมากขึ้น และคุณสามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการผลิต Banner พวกนี้ ลงเงินเเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิด Reach ที่สูงหรือประสิทธิภาพตาม KPI ที่ตกลงกันไว้ได้ แถมจำนวนชิ้นงานที่น้อยหรือพอดีไม่ได้มากเกินไปนี้ยังทำให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย หรือสามารถเอางบประมาณไปสร้างชิ้นงานที่สามารถสร้าง Engagement หรือดึงความสนใจผู้บริโภคสูงสุดมาได้ เช่น video ที่ Facebook และ Instagram นั้นดันยอด Rach และ Engagement เพื่อให้นักการตลาดนั้นทำ Video มากขึ้นเพื่อแข่งกับ Facebook สามารถเอางบประมาณมาลงกับ Creative ที่เพิ่มขึ้นได้ หรือให้ Influencer หรือ Talents มาร่วมแสดงหรือโปรโมทได้

Screen Shot 2560-05-14 at 7.12.57 PM

ทั้งนี้การซื้อสื่อโฆษณาในยุคนี้ไม่ใช่แค่ซื้อแล้วจบไป แต่ต้องคำนึงว่าสื่อที่ทำนั้นจะได้ผลมากแค่ไหน และคุมค่าแค่ไหน สำคัญที่สุดคือทำออกไป กลุ่มเป้าหมายที่เห็นจะรำคาญหรือไม่ หรือได้ผลหรือไม่นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ต้องคิดถึงตั้งแต่แรกในการทำ พร้อมต้องหยุดความคิดว่าต้องทำเยอะ ๆ ในยุคนี้ เพราะเยอะไม่ได้หมายความว่าดี แต่การทำสื่อที่โดน ที่ใช่ ถูกที่ ถูกเวลา จำนวนเหมาะสมนั้นกลายเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าปริมาณ (คุณภาพเหนือปริมาณ) เพื่อเอาชนะ Algorthm ของ Platform ในยุคนี้

facebook-kpis-impressions-reach-frequency

สิ่งที่สำคัญยุคนี้คือการที่ต้องหยุดการทำงานแบบ Silos ที่ Digital Agency ทำชิ้นงานมา และ Media Agency  มาใช้ชิ้นงานเพื่อโปรโมทให้ลูกค้าด้วยกัน (และต่างคนก็ต่างมองว่าจะมาแย่งงานกันทำ) ซึ่งยุคนี้นักการตลาดหรือคนทำงาน Agency ต้องมองในมุมมองที่เป็น Frenemies ที่ร่วมกันทำเพื่อลูกค้า ไม่ใช่เพื่อกินรวบ ใครถนัดทำอะไรก็ทำในงานนั้นและรวมความแข็งแกร่งในตัวเอง ร่วมกับคนอื่นเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุดออกมา โดยทำให้ลูกค้าเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดขึ้น

ที่มา – Ehrenberg-Bass Institute และ CNBC 


  • 127
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ