เจาะลึกเบื้องหลังไอเดียโฆษณาฉีกแนวอสังหาฯ เมื่อซอมบี้บุกไทย จะใช้ชีวิตร่วมกันให้ปลอดภัยได้อย่างไร โดย REAL ASSET

  • 934
  •  
  •  
  •  
  •  

 

 

ช่วงนี้หนังซอมบี้ดูจะมาแรงในบ้านเรามาก ทั้งซอมบี้ฝรั่ง ซอมบี้เอเชีย จนอดคิดต่อไม่ได้ว่าถ้ามีซอมบี้บุกไทย!

เราจะเอาตัวรอดยังไง?

จินตนาการเล็กๆ ก็ไปตรงกับงานโฆษณาตัวนี้เข้าอย่างจัง (สงสัยว่า Facebook แอบได้ยินรึเปล่านะ) เป็นโฆษณาตัวล่าสุดจาก REAL ASSET (เรียลเอสเสท) เป็นโฆษณาสุดแหวกแนว จนไม่คิดเลยว่าจะเป็นไอเดียจากแบรนด์อสังหาฯ ด้วยการหยิบสถานการณ์ใกล้ตัวของวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาสมมุติให้คนที่ได้รับเชื้อกลายเป็นซอมบี้ การระบาดนี้ได้ขยายวงกว้างไปทุกหนทุกแห่ง แต่มีอยู่สถานที่หนึ่งที่คนยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย นั่นก็คือภายในโครงการของ REAL ASSET แล้วทำไมผู้คนในโครงการนี้ยังอยู่รอดได้ล่ะ ตามไปดูกัน

 

 

หนังมีชื่อว่า “Last Hope Last Home” ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านครอบครัวหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าจะถูกซอมบี้ล้อมรอบอยู่ โดยยกให้ “ซอมบี้” เป็นดั่งเป็นตัวแทนของวิกฤตในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น COVID -19  ฝุ่น PM 2.5 ภาวะโลกร้อน หรืออาหาร Junk Food ที่แม้จะหาซื้อง่ายและทำร้ายสุขภาพ แต่ด้วยสถานที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีพื้นที่ในการดูแลสุขภาพออกกำลังกายได้ มีลู่วิ่งที่ทำให้แข็งแรงพอจะหนีซอมบี้ได้ทัน (จ้างให้ก็ตามไม่ทันเพราะซ้อมมาดี..ว่างั้น) หรือการสนับสนุนให้ลูกบ้านรับประทานพืช ผัก ที่สะอาดปลอดโรค ปลอดสารเคมี โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ มีพื้นที่สันทนาการเพียงพอ โดยให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยเพราะมีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยสอดส่องดูแลให้รู้สึกอุ่นใจ และแม้จะไม่สบายก็ไม่ต้องกังวลเพราะโครงการได้พันธมิตรเป็นสถานพยาบาลชั้นนำที่สามารถช่วยเหลือดูแลในรูปแบบ Telemedicine โดยไม่จำเป็นต้องฝ่าฝูงซอมบี้ออกไปข้างนอกเลย

 

 

ทั้งหมดนี้สอดแทรกอยู่ในเรื่องราวที่แทบจะแยกไม่ออกเลยว่านี่เรากำลังถูกขายของอยู่นะ ทั้ง benefit และ functional จุดเด่นต่างๆ ของโครงการ แต่ถูกถ่ายทอดเนียนไปกับเนื้อเรื่องที่มีทั้งความสนุกตลกเฮฮาของตัวโฆษณา ทำให้ดูแล้วเพลินและมีปริศนาให้ติดตามเบาๆ ไปตลอดทั้งเรื่องจนสามารถดูได้ไปจนจบ

แล้วอีกจุดที่อดชมไม่ได้ก็คือ ไอเดียหักในช่วงก่อนปิดท้าย ที่กลายเป็นว่า อ้าว! หนังซ้อนหนังนี่หว่า เกือบตั้งตัวแทบไม่ทันจนหลุดขำไปเลย เพราะระหว่างที่หนังพาเราเคลิ้มไปกับเรื่องราวการใช้ชีวิตร่วมกับซอมบี้ (ทำได้ซะงั้น) ของครอบครัวนี้ ก็ยังเนียนแทรกทั้ง tagline และ logo ขายของใส่เราเต็มๆ แต่เรากลับไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียด ทว่ากลับเข้าใจในไอเดียที่วางไว้ เพราะด้วยเนื้อหาที่ถ่ายทอดบนความสนุกสนานตั้งแต่ต้น ทำให้เราไม่ถือสากับการขายของเต็มๆ ชัดๆ ของโฆษณาชิ้นนี้ แต่กลับเปิดใจรับฟังและอมยิ้มตามไปกับไดอาล็อกต่างๆ ที่เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นหนังโฆษณาที่สนุกกลมกล่อมได้อรรถรสดีทีเดียว และเข้าใจแบรนด์นี้มากยิ่งขึ้นด้วย

 

 

นอกจากนี้ โฆษณายังมี easter egg เป็นของแถม โดยได้ VIP Cameo นักแสดงสมทบสุดพิศษ ที่พลิกบทบาทสลับหน้าที่จาก‘ลูกค้า’ มานั่งเป็น ‘ครีเอทีฟคนคิดโฆษณา’ ได้แก่ คุณเบอร์ดี้-บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ CEO ของ REAL ASSET Development น่ะเอง ยิ่งฉากถอนหายใจใส่ลูกค้าแหม… เนียนจนไม่รู้ว่าอินจริงหรือเปล่านะ เรียกว่าพลิกมุมไปมาตั้งแต่ตัวงานไปจนถึงผู้บริหารกันเลยทีเดียว ฮาไม่ไหวจริงๆ

 

 

Neverland กับแนวคิด Blue Zones การใช้ชีวิตที่ยืนยาวเพื่ออยู่ร่วมกับคนที่เรารัก 

สำหรับหนังเรื่อง “Last Hope Last Home” เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่พูดถึง ที่มาของแนวคิดการออกแบบโครงการ “Neverland” ให้เป็นสถานที่ที่จะเพิ่มเวลาให้กับคุณเพื่อให้ได้อยู่กับคนที่คุณรักมากขึ้น ภายใต้แนวคิด Blue Zones ซึ่งเป็นบทความของ Dan Buethner ที่ตีพิมพ์ในวารสารของ National Geograhic เมื่อปี 2005 มีชื่อตอนว่า The Secret of a Long Life โดยนำเรื่องราวของคนอายุ 100 ปีที่กระจุกตัวอยู่ในเมืองๆ ต่างบนโลกมาเล่าให้ฟังถึงวิถีการใช้ชีวิตที่ทำให้อายุยืนยาว โดยเขาใช้ปากกาสีน้ำเงินเขียนเป็นวงกลมไว้ที่เมืองเหล่านั้นบนแผนที่โลก จึงเป็นที่มาของคำว่า Blue Zones มีทั้งหมด 5 พื้นที่ อาทิ เมืองSardinia ของอิตาลี,เมือง Okinava ของญี่ปุ่น และเมือง Icaria ของกรีก เป็นต้น

ดังนั้น REAL ASSET จึงได้นำเอาหลักการดำเนินชีวิตของคนในพื้นที่เหล่านั้นมาออกแบบและประยุกต์ใช้กับทุกองค์ประกอบของโครงการ เพื่อสร้างดินแดน Neverland ให้เป็นบ้านในฝันของลูกค้า และจะเป็นดินแดนที่เติมเต็มความหมายของคำว่าบ้าน พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาวะที่ดีให้กับลูกบ้าน ผ่านวิสัยทัศน์ “Believing a better you is possible.” ซึ่งให้ความสำคัญ ตั้งแต่คุณภาพอากาศ พื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน รวมถึงวัสดุต่างๆ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตภายในโครงการ

 

 

โดยแบ่งนิยามของ Neverland  ออกเป็น 5 แกนหลัก ดังนี้

  • Ever Active ส่งเสริมให้ลูกบ้านได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยพื้นที่ส่วนกลางทุกโครงการจะมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่ง ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสวนขนาดใหญ่ ให้ลูกบ้านได้เลือกทำกิจกรรมที่ใช่และเหมาะกับไลฟ์สไตล์มากที่สุด
  • Ever Smile ลดความตึงเครียดและความกังวลในชีวิตประจำวันของลูกบ้าน โดยเน้นดูแลเรื่องความปลอดภัยทั้งภายในบ้านและภายในโครงการด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ อาทิ ระบบ IOT ภายในบ้าน ระบบฟอกอากาศบริสุทธิ์ และออนเซ็น เป็นต้น
  • Ever Green สนับสนุนและส่งเสริมให้ลูกบ้านรับประทานอาหาร พืช ผัก ที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย โดยภายในโครงการจะเน้นการปลูกต้นไม้ที่ให้ผลผลิตสามารถนำมารับประทานได้ รวมทั้งยังใส่ใจในเรื่องการลดค่า PM 2.5 ภายในโครงการด้วยการปลูกพันธุ์ไม้ฟอกอากาศบริเวณพื้นที่ส่วนกลางอีกด้วย
  • Ever Love ส่งเสริมให้ลูกบ้านใกล้ชิดกันภายในครอบครัวมากขึ้น โดยออกแบบฟังก์ชั่นภายในและภายนอกบ้าน รวมถึงพื้นที่ส่วนตัวและส่วนกลาง ให้มีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นระหว่างสมาชิกภายในครอบครัว รวมไปถึงแผนการจัดกิจกรรมและ workshop ต่างๆ มากมาย เพื่อสานสัมพันธ์ในครอบครัว
  • Ever Care ส่งเสริมให้ลูกบ้านมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ โดยจับมือกับโรงพยาบาลและพาร์ทเนอร์ทางการแพทย์เพื่อจัดทำโครงการใหม่ๆ ร่วมกัน พร้อมมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ นอกจากนี้ยังได้จัดให้มี Medical Corner สำหรับให้บริการกับลูกบ้าน โดยได้นำร่องกับโครงการสตอรี่ บางนา – สุวรรณภูมิไปแล้ว

ปัจจุบันมีโครงการนำร่องที่ใช้หลัก 5 แกนของ Neverland มาออกแบบโครงการแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสตอรี่ส์ บางนา – สุวรรณภูมิ (Stories Bangna – Suvarnabhumi), สตอรี่ส์ รังสิต – วงแหวน (Stories Rangsit – Wongwaen)  และหลังจากนี้ Neverland จะถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาโครงการของเรียลแอสเสทในทุกๆ โครงการต่อไป

 

 

ความกล้าและวิชั่น CEO สู่ไอเดียที่ท้าทายกรอบคิดธุรกิจอสังหาฯ

สำหรับเบื้องหลังไอเดียงานสุดเจ๋งตัวนี้ก็มาจากวิชั่นของ คุณเบอร์ดี้ (บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด) ที่ต้องการไอเดียสดใหม่ และความคิดสร้างสรรค์แตกต่างจากในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำให้ทุกคนสามารถมีบ้านในฝันได้ไม่ยาก ดังนั้น โครงการของ Neverland จึงสร้างขึ้นบนกรอบความคิดหลักที่ว่า จะสร้างดินแดนที่เป็นสถานที่ที่จะเพิ่มเวลาให้คุณได้อยู่กับคนที่คุณรักมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีรอบด้าน

ที่สำคัญคือ การตอกย้ำด้วยคำพูดสำคัญที่คุณเบอร์ดี้ได้กล่าวไว้ในโฆษณาว่า เราไม่ได้มาแค่ขายบ้าน แต่ต้องการสร้างให้ลูกค้ารู้สึกว่า เมื่อก้าวเข้ามาในโครงการของ REAL ASSET ตั้งแต่ก้าวแรกจะที่รับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นของสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ตามวิชั่น ที่ว่า Beliving a better you is possible” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารและแบรนด์ให้ความสำคัญนั่นเอง.


  • 934
  •  
  •  
  •  
  •