ในยุคที่โลกแห่งความบันเทิงเต็มไปด้วยคอนเสิร์ต อีเวนต์ และกิจกรรมมากมาย การจะทำให้งานหนึ่งกลายเป็นประสบการณ์ที่ติดอยู่ในใจคนอย่างยาวนาน ไม่ใช่เรื่องง่าย Wonderfruit คือหนึ่งในไม่กี่งานในประเทศไทยที่ทำให้ผู้คนพูดถึงมากกว่า “ไลน์อัป” หรือ “เวทีใหญ่” แต่มันกลายเป็นชื่อที่สื่อถึงวิธีคิด วิธีใช้ชีวิต และแม้กระทั่งความเชื่อบางอย่าง
คำถามที่น่าสนใจก็คือ อะไรทำให้งานหนึ่งเดินทางจากจุดเริ่มต้นที่หลายคนยังไม่เข้าใจ จนถึงวันนี้ที่ผู้คนซื้อตั๋วโดยไม่ต้องรู้ชื่อศิลปิน? และนี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของงานเทศกาล แต่เป็นบทเรียนของการสร้างระบบวัฒนธรรมในแบบของตัวเองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเราได้มีโอกาสสนทนากับ คุณพีท-ประณิธาน พรประภา Founder & CEO, Scratch First Co., Ltd. ผู้ก่อตั้ง Wonderfruit และเป็นหนึ่งใน Speaker ของงาน AssetWise presents Marketing Oops! Summit 2025 ที่ผ่านมา
Wonderfruit = Cultural Platform
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน Wonderfruit ไม่ได้ถือกำเนิดจากโปรโมเตอร์ หรือผู้มีประสบการณ์ด้านอีเวนต์ระดับมืออาชีพ หากแต่เกิดจากความเชื่อว่าศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ สามารถเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง
“เราไม่ได้มองว่าเรากำลังสร้างแค่เฟสติวัลนะ ผมมองว่ามันคือแพลตฟอร์มตั้งแต่ต้นแล้ว” คุณพีทเล่าว่าเขาไม่ได้ต้องการแค่สร้างงานที่คนมาดูแล้วกลับบ้าน แต่ต้องการให้เฟสติวัลกลายเป็นแพลตฟอร์ม ที่กระตุ้นให้ผู้คนได้ “ใกล้ชิดกับตัวเอง ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และเปิดใจผ่านเสียงดนตรีหรือศิลปะ”
แนวคิดหลักของ Wonderfruit จึงถูกออกแบบผ่าน 3 แกนสำคัญ:
- Mind – สร้างพื้นที่ให้ผู้คนมีโอกาสสำรวจภายในตัวเอง
- Nature – เชื่อมโยงกับธรรมชาติทั้งทางร่างกายและจิตใจ
- Sound – ใช้เสียงเป็นภาษากลางในการเข้าถึงผู้คน
“เราทำงานกับเสียง เพราะเสียงเข้าถึงคนได้ง่าย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัฒนธรรมไหนก็ตาม” คุณพีทอธิบาย
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ช่วงเวลา 4-5 วันของงานเท่านั้น แต่ขยายออกไปเป็นโครงการตลอดทั้งปี เพื่อทดลอง เรียนรู้ และสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง
เบื้องหลัง 5 วัน = ผลลัพธ์ของ 365 วัน
เมื่อมองจากภายนอก Wonderfruit อาจดูเหมือนเป็นเฟสติวัลประจำปีที่จัดขึ้นปลายปี ณ พัทยา แต่ในความเป็นจริง ทุกองค์ประกอบในพื้นที่นั้นเกิดจากการทำงานล่วงหน้าเกือบตลอดทั้งปี มีทีมเบื้องหลังมากกว่า 100 คน ทั้งศิลปิน นักออกแบบ สถาปนิก นักวิจัย และชุมชนในท้องถิ่น
พื้นที่หลายจุดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยเจตนา เช่น การใช้วัสดุหมุนเวียน การทดลองสถาปัตยกรรมยั่งยืน หรือแม้แต่การจัดการขยะที่กลายเป็นโมเดลให้กับงานอื่นๆ ในภูมิภาค
“สิ่งที่เห็นใน 5 วัน เกิดจากการทำงานมาตลอดปี และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้าใกล้กับสิ่งที่เราพยายามจะสื่อออกไป” คุณพีทบอก
กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในงานก็ครอบคลุมทั้งดนตรี ศิลปะ อาหาร เวิร์กชอป การทำสมาธิ ไปจนถึงโปรเจกต์ทดลองทางเสียง ซึ่งเชื่อมโยงกับสภาวะจิตใจของผู้เข้าร่วม เช่น โครงการ “Sonic Mind” ที่ร่วมมือกับพระ นักวิจัย และนักดนตรี เพื่อค้นหาว่าเสียงแบบไหนช่วยให้คนสงบ มีสมาธิ หรือรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในได้
Purposeful Festival = ต้องมีจุดยืน
ในยุคที่คำว่า “purpose” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด Wonderfruit เลือกที่จะนิยามจุดยืนของตัวเองผ่านการลงมือทำอย่างจริงจัง มากกว่าการสื่อสารลอยๆ
“ผมไม่เคยเปลี่ยนแกนหลักของงานเลยนะ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราเชื่อในความสัมพันธ์ระหว่าง Mind, Nature และ Sound เหมือนเดิม” คุณพีทย้ำ
สำหรับ Wonderfruit จุดยืนคือการซื่อสัตย์กับสิ่งที่สร้าง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม หรือการสร้างสำนึกใหม่ในหมู่คนเมือง ความสนุกยังคงอยู่ แต่มันมาพร้อมความตั้งใจที่ชัดเจน
แม้ในการร่วมงานกับแบรนด์ก็ยังยึดจุดยืนเดียวกัน หากแบรนด์ไม่เข้าใจบริบทของแพลตฟอร์มนี้ ก็อาจไม่สามารถไปด้วยกันได้ บางครั้งแบรนด์มาทดลองแค่ปีเดียวแล้วก็จากไป ซึ่งทีมงานก็เข้าใจดี เพราะความเข้าใจร่วมเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ สร้าง ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นตรงกันทันที
10 ปีแห่งการเรียนรู้
ผู้ร่วมงานจำนวนมากในปัจจุบันเลือกซื้อตั๋วโดยไม่สนว่าใครจะขึ้นแสดงบนเวที แต่เชื่อในประสบการณ์ที่แพลตฟอร์มนี้จะมอบให้ พวกเขาชวนเพื่อน ครอบครัว หรือแม้แต่พาลูกหลานมาร่วมงาน เพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่กิจกรรมชั่วคราว แต่เป็นพื้นที่ที่มีพลัง
“หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาอยากกลับมา แต่เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในตัวเขาหลังจากมา”
สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างทีมงาน ภาครัฐ และท้องถิ่น โดยเฉพาะในประเทศที่เฟสติวัลเชิงวัฒนธรรมยังเป็นของใหม่ เรื่องการอนุญาต การเดินทาง ความปลอดภัย หรือระบบขนส่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ Wonderfruit ต้องจัดการและเรียนรู้แบบปีต่อปี
อนาคตของ Wonderfruit และเฟสติวัลไทย
ในอนาคต Wonderfruit จะไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ปลายปีอีกต่อไป แพลตฟอร์มนี้กำลังขยายออกเป็นกิจกรรมเล็กๆ ตลอดปี มีการเปิดไซต์ให้คนมาเรียนรู้ ทดลอง หรือจัดกิจกรรมเฉพาะทาง รวมถึงการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ที่ต่อยอดประสบการณ์ให้เชื่อมต่อได้ต่อเนื่อง
“เราพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ของเรา แต่เผื่อให้คนอื่นเอาไปใช้ต่อได้ด้วย”
สำหรับเฟสติวัลไทยโดยรวม คุณพีทมองว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพอีกมาก แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาคือโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อินฟราสตรักเจอร์ การเชื่อมโยงกับชุมชน หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างระบบรถรับส่ง ซึ่งมีผลต่อประสบการณ์ของผู้ร่วมงานมากกว่าที่คิด
นอกจากนี้ เขายังอยากเห็นความหลากหลายของเฟสติวัลไทยมากขึ้น ไม่จำกัดแค่ดนตรี แต่รวมถึงคราฟต์ดีไซน์ ศิลปะร่วมสมัย วัฒนธรรมท้องถิ่น หรือแม้แต่เทศกาลน้ำที่สะท้อนอัตลักษณ์ของประเทศได้อย่างแท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบต่างประเทศ
จากคนดูสู่พลเมืองวัฒนธรรม
สิ่งที่ Wonderfruit สร้างมาตลอดสิบปี ไม่ใช่เพียงเวทีหรือตารางกิจกรรม แต่มันคือการเปลี่ยน “ผู้ชม” ให้กลายเป็น “ผู้มีส่วนร่วม” หรือแม้กระทั่ง “พลเมืองวัฒนธรรม” ที่มองว่าประสบการณ์คือพื้นที่เรียนรู้ชีวิต
“เราไม่ได้อยากให้คนแค่มาดูแล้วกลับไป แต่เราอยากให้เขาได้ค้นพบบางอย่างในตัวเอง” คุณพีทเน้น
และเมื่อประสบการณ์ถูกออกแบบอย่างมีเจตนา มันจึงไม่ใช่แค่ความทรงจำในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่มันกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในใจผู้คน และอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปอย่างคาดไม่ถึง
หากคุณอยากรู้ว่าอนาคตของเฟสติวัลไทยจะเป็นแบบไหน… บางที Wonderfruit อาจเป็นคำตอบหนึ่งในนั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มันกำลังเปิดพื้นที่ให้เราลองนิยาม “อนาคต” แบบของตัวเองด้วยมือของเราเอง