มีใครคิดถึงเสียงสั่นกระดิ่งของรถเข็น หรือคำพูดหวานๆ จากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกันบ้าง ที่มักจะถามเราตลอดว่า tea or coffee? หรือรับเมนูไหนดีคะ? แต่ในชั่วโมงท้าทายจากพิษ COVID-19 แบบนี้ ก็อดนึกถึงโมเมนต์ที่นั่งอยู่บนเครื่องบินโดยสารไม่ได้
จะว่าไปแล้วเมนูอาหาร หรือเครื่องดื่มบนเครื่องบินโดยสาร ก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์เด็ดที่สายการบินใช้มัดใจลูกค้า สร้างความ royal จากลูกค้าได้มากเหมือนกัน นอกเหนือจากเรื่องราคาที่เปิดสงครามระหว่างสายการบินหั่นราคาหั่นแล้วหั่นอีก
ขณะที่บางสายการบินไม่ได้เน้นที่ความอร่อยของรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ยังใช้ไอเดียเรียกลูกค้าด้วยเมนูหลากหลายจำนวนมาก อย่างเช่น Vietjet ของเวียดนามที่มีเมนูอาหารเสิร์ฟกว่าหลาย 10 เมนู หรือจะเป็นเมนูเครื่องดื่มยอดฮิตอย่าง ‘ชานมไข่มุกลอยฟ้า’ จากสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งครัว AIRASIA SANTAN ได้เปิดบริการเดลิเวอรี่ส่งตรงถึงมือลูกค้าไป เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
สงสัยกันมั้ยว่า ไอเดียเสิร์ฟอาหารพร้อมเครื่องดื่มพวกนี้ เกิดขึ้นมายังไง แล้วมีตำนานเล่ากันว่าอย่างไรบ้าง ในวันนี้เราอยากพาทุกคนไปย้อนรอยอดีตกันหน่อย เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องเคยจิ้มออเดอร์เลือกอาหาร หรือรับเครื่องดื่มบนเครื่องบินมาอยู่แล้ว ดังนั้น มาแกะรอยประวัติศาสตร์ของ ‘inflight meals’ กันเลย
‘มื้อแรกบนเครื่องบิน’ ถูกเสิร์ฟขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
นับย้อนไปกว่า 100 ปีที่สายการบิน Handley Page Transport ซึ่งเป็นสายการบินแรกที่สร้าง ‘วัฒนธรรมอาหารบนเครื่องบิน’ ไว้ด้วยการทดลองจำหน่ายอาหารบนเที่ยวบิน ‘ลอนดอน-ปารีส’ ในปี 1919 โดยเสิร์ฟแซนด์วิชกับผลไม้ให้ผู้โดยสารบนห้องโดยสาร ในราคา 3 ชิลลิ่ง (9.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ = 298 บาท) ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงเวลานั้นราคานี้สูงลิ่วเอาการเลย
นับจากนั้นเริ่มเห็นหลายๆ สายการบินให้ความสนใจกับวัฒนธรรมนี้ และต้องการเพิ่มเซอร์วิสการเสิร์ฟอาหารบนเครื่องบินด้วย อย่าง United Airlines ที่เริ่มนำโมเดลนี้มาใช้ในปี 1936 และเป็นสายการบินแรกที่ปรับโฉมเครื่องบินเชิงพาณิชย์ ด้วยการแบ่งพื้นที่สำหรับ ‘ครัวบนเครื่อง’ (kitchen onboard)
ดังนั้น inflight meals จึงเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เมนูง่ายๆ อย่างแซนด์วิช หรือผลไม้สด แต่สำหรับสายการบินยูไนเต็ด ผู้โดยสารสามารถเลือกระหว่าง ‘ไก่ทอด หรือ ไข่คน’ ได้แล้ว
ในขณะที่ Pan American World Airways หรือหลายคนรู้จักในชื่อ ‘Pan Am’ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำด้านบริการอาหารบนเครื่องบินแบบ luxury ที่สุดในยุคนั้น โดยในปี 1939 เป็นครั้งแรกที่เริ่มเสิร์ฟ ‘ค็อกเทลผลไม้’ ตามด้วยผลไม้จากเมืองร้อน (ของหายากในยุคนั้น), ครีมซุปมะเขือเทศ, ไก่ย่างกับซอสไวน์, ถั่ว และ มันฝรั่งเดลโมนิโก ซึ่งน่าจะเป็นเมนูคอร์สที่หรูที่สุดในบรรดาสายการบินในอดีตเลย
และในช่วงที่เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง ราวๆ ทศวรรษ 1960 มีหรือที่อาหารบนเครื่องบินจะไม่พัฒนาตาม ซึ่งในช่วงเวลานี้น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่อาหารสำหรับเสิร์ฟผู้โดยสารเริ่มมี ‘เนื้อวัว’ เข้ามาด้วย (เนื้อสัตว์ราคาแพงในยุคนั้น)
‘ความคาดหวัง’ ผู้โดยสารเปลี่ยนจากความเร็วสู่ ‘บริการ’ ดีที่สุด
โลกที่หมุนตามกาลเวลาส่งผลให้ความคาดหวังและความต้องการของลูกค้าสายการบินเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากจุดเริ่มต้นที่ทำให้เครื่องบินเชิงพาณิชย์ได้รับความนิยมก็เพราะว่า ‘ความรวดเร็ว’ ผู้คนต้องการเดินทางไปมาหาสู่กันเพียงกระพริบตา อะไรที่ช่วยย่นระยะทางทางเลือกนั้นก็จะเป็น the first choice เสมอๆ
Enda Kavanagh ผู้จัดการผลิตภัณฑ์สำหรับประสบการณ์ลูกค้าในเที่ยวบิน ของสายการบิน Aer Lingus, ไอร์แลนด์ ซึ่งก่อตั้งมาแล้วกว่า 80 ปี บอกว่า “ย้อนกลับไปสมัยก่อนที่ความเร็วเป็นตัวแปรเดียวที่ผู้โดยสารสนใจ ส่วนบริการเรื่องอาหาร-เครื่องดื่มบนเครื่องจะเป็นตัวแปรที่ 2 สำหรับเหล่าเศรษฐี แต่ในปัจจุบันแม้แต่สายการบินโลว์คอสต์เอง ก็มีบริการแบบ full-service ไม่ต่างกัน ทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหาร”
“ไม่มีสายการบินไหนที่ไม่เพิ่มเซอร์วิสเรื่องอาหารบนเครื่องบิน ยิ่งถ้าบริการนี้ FREE สายการบินจะยิ่งได้ Top in Mind จากผู้โดยสาร”
วิวัฒนาการอาหารบนเครื่องสู่ โมเดล ‘Farm-to-Plane’
ถ้าพูดถึงในยุคก่อนๆ เรื่องความหลากหลายและรสชาติอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบิน คงสำคัญพอๆ กับราคาตั๋วเครื่องบิน และเรื่องบริการด้านอื่นจากสายการบิน แต่สำหรับยุคที่ความ healthy มาแรงมากเบียดกระแสอื่นจนขึ้นมาเป็น Top 3 trending ดังนั้น บิซิเนสโมเดลที่น่าสนใจมากในเวลานี้ ต้องยกให้โมเดลนำร่องของ ‘สายการบิน สิงคโปร์แอร์ไลนส์’ กับอาหารในคอนเซปต์ ‘Farm-to-Plane’ ผักสดใหม่ที่ส่งตรงจากฟาร์ม
โดยสายการบินร่วมมือกับ AeroFarms บริษัทที่ทำฟาร์มแนวตั้งในเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อปี 2019 ซึ่งผู้โดยสารที่บินรูทบิน Newark, New Jersey – Singapore จะได้ทดลองกินผักสลัดแบบสดๆ เป็นรูทบินแรก
James Boyd หัวหน้าฝ่ายสื่อสารของ Singapore Airline ได้พูดว่า “เป้าหมายของโมเดลใหม่นี้ สายการบินจะไม่ได้เน้นที่รสชาติอาหารอย่างเดียว แต่มันต้องสดใหม่ แต่ดีต่อสุขภาพของผู้โดยสารด้วย” ซึ่งฟาร์มดังกล่าวอยู่ใกล้สนามบินนวร์กเพียง 5 ไมล์เท่านั้น ดังนั้นผักสดทั้งหมดจากฟาร์มแห่งนี้จะส่งตรงถึงไปที่เครื่องบินภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเก็บเกี่ยว
จะว่าไปโมเดลนี้เคยเกิดขึ้นใน ‘ดูไบ’ ตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆ กัน คือ บริษัท Emirate Flight Catering (EKFC) ผู้ให้บริการด้านอาหารบนเครื่องบิน ได้ร่วมมือพัฒนากับ Crop One สตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเวย์ จัดทำฟาร์มแนวตั้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก หมายความว่าผักสดจากฟาร์มแห่งนี้จะส่งตรงไปถึงสายการบินกว่า 100 สายการบินที่บินออกจากสนามบินนานาชาติดูไบ
โดยมีกำหนดการว่าจะเริ่มจัดส่งได้ภายในปี 2020 แต่โชคร้ายที่โลกการบินถูกแช่แข็งจากการระบาดของ COVID-19 ไปเสียก่อน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Mak Swee Wah รองประธานบริหารฝ่ายการพาณิชย์ของ Singapore Airline ก็ยืนยันว่า “กระแสสุขภาพจะยังอยู่กับเราอีกนาน และลูกค้าจะให้ความสำคัญกับการกินอาหาร มองเรื่องวัตถุดิบสำคัญมากขึ้น ดังนั้น ในอนาคตโมเดลนี้จะยังไม่หายไปไหน”
ตอนนี้ก็เหลือแค่วัคซีนที่จะมาช่วยยับยั้งไวรัส COVID-19 ให้ได้สักที เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่โหยหาการท่องเที่ยวแบบประสบการณ์จริง แต่คิดถึงที่นั่งบนห้องโดยสาร และกินอาหารพร้อมวิวมวลเมฆ
ที่มา : washingtonpost, intelligence.wundermanthompson, businessinsider, wikipedia