งาน #CTC2025 เริ่มวันแรกแล้ว (4 กรกฎาคม 2568) หนึ่งในเซสชั่ที่ได้รับความสนใจมาก ได้แก่ Half Year Trends: Business And Economy จาก คุณยอด ชินสุภัคกุล CEO, LINE MAN Wongnai และ คุณท็อป – จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO Bitkub ซึ่งเราขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจไว้ ดังนี้
สรุปสถานการณ์และแนวทางการพัฒนาธุรกิจร้านอาหารไทย โดย “ยอด” CEO, LINE MAN Wongnai
คุณยอด ชินสุภัคกุล CEO, LINE MAN Wongnai สรุปสถานการณ์และแนวทางการพัฒนาธุรกิจร้านอาหารไทย ว่า อุตสาหกรรมร้านอาหารไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง โดยมีข้อมูลที่น่าตกใจจากหลายแหล่ง
- ร้านอาหารระดับ Fine Dining: ยอดขายลดลง 60-70% โดยเฉลี่ย
- ร้านอาหารทั่วไป: ยอดขายลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง จากเดิม 20,000 บาทต่อวัน
- ข้อมูลจาก POS ของ LINE MAN Wongnai: ร้านอาหารเดิม (Same Store Sales) ลดลง 14% ในปี 2025 เทียบกับปีก่อน (ปกติลดลงเพียง 3%)
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ
- ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น 25%
- ค่าแรงงานเพิ่มขึ้น 5%
- จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง – นักท่องเที่ยวลดลง 1.8% โดยรวม นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและใช้จ่ายในร้านอาหารเป็นจำนวนมาก
แนวโน้มการเปิดร้านใหม่
จำนวนร้านอาหารเปิดใหม่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง:
- ปี 2023: เปิดใหม่ประมาณ 100,000 ร้าน
- ปี 2024: เปิดใหม่ประมาณ 60,000 ร้าน
- ปี 2025: เปิดใหม่ประมาณ 44,000 ร้าน
หมายเหตุ: ร้านอาหารใหม่ยังคงมีอัตราการปิดตัวภายใน 1 ปีประมาณ 50%
แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนา
-
การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ – การเพิ่มยอดขายและลดต้นทุน
- ระบบ POS ที่ทันสมัย
- Digital Ordering System
- ระบบชำระเงินดิจิทัล
- การสั่งอาหารผ่าน QR Code
ประโยชน์ที่ได้รับ: ลดข้อผิดพลาดในการรับออเดอร์ ประหยัดเวลาและค่าแรงงาน และ เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า
-
การรองรับช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย
สถิติการชำระเงินในประเทศไทย
- ปี 2023: การชำระเงินไม่ใช่เงินสด 36%
- ปี 2025: การชำระเงินไม่ใช่เงินสด 50%
ข้อได้เปรียบ ลูกค้าที่ใช้การชำระเงินแบบไม่ใช้เงินสดมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่าประมาณ 22% , เงินสดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
-
การปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อการขยายตัว
แนวโน้มตลาด พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ดังนี้
- Quick Service Restaurant (QSR): มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
- Full Service Restaurant: มีแนวโน้มลดลง
- แบรนด์ขนาดใหญ่: เข้ามาขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เช่น ชาผลไม้จีน, ไอศกรีม, กาแฟ, สุกี้ตี๋น้อย
ถึงกระนั้นก็อาจจะมีความจำเป็นในการขยายตัว ซึ่งร้านเดี่ยว (Stand alone) มีความยากลำบากในการแข่งขัน การสร้างระบบที่รองรับการขยายสาขา และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายตัว
-
การจัดการข้อมูลและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
ปัญหาปัจจุบัน ร้านอาหารในประเทศไทยที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพียง 4% ร้านส่วนใหญ่ (96%) ยังคงเป็นบุคคลธรรมดา โดยพบข้อเสียว่า ส่วนใหญ่ ไม่มีบัญชีที่เป็นระบบ ยากต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และไม่สามารถทำงานกับ Fintech ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางแก้ไข
- ร้านใหญ่: ต้องการทางลัดเข้าสู่ตลาดทุน (IPO, M&A)
- ร้านเล็ก: ต้องการการพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนจาก Fintech
-
การสนับสนุนจากภาครัฐ
แบ่งความช่วยเหลือตามขนาดของร้านค้า ดังนี้
- สำหรับร้านขนาดใหญ่ – สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเชิงนโยบาย เช่น ช่วยด้านการขยายสาขาไปต่างประเทศ หรือหาทางลัดเข้าสู่ตลาดทุน
- สำหรับร้านขนาดกลาง – โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น “คนละครึ่ง” แต่เฉพาะร้านอาหาร โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เวอร์ชันร้านอาหาร เป็นต้น
- สำหรับร้านขนาดเล็ก – สนับสนุนค่าใช้จ่ายและอุปกรณ์จำเป็นให้กับร้านในระบบภาษี เช่น โครงการของ depa ผลักดัน SMEs ในการใช้เทคโนโลยี ช่วยลดต้นทุนด้วยเงินสนับสนุน และคูปองดิจิทัล
แนวทางสู่ความอยู่รอดและการเติบโต
- ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ – ลงทุนในระบบ POS, Digital Ordering และระบบชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มยอดขาย
- ปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อการขยายตัว – หลีกเลี่ยงการทำธุรกิจแบบ Stand alone เพียงอย่างเดียว
- จัดทำข้อมูลให้เป็นระบบ – เพื่อสะดวกต่อการเติบโตและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- ขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ – ใช้ประโยชน์จากนโยบายและโครงการต่างๆ ที่มีอยู่
สรุปเทรนด์อนาคตของธุรกิจโลก: “การกลายพันธุ์” โดยคุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ท็อป Bitkub)
ฝากฝั่ง คุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Group CEO Bitkub ได้สรุปภาพรวมเทรนด์อนาคตของธุรกิจโลกที่กำลังจะ “กลายพันธุ์” โดยมีประเด็นสำคัญ 2 ประเด็นหลักดังนี้
#1 โลกกำลังจะกลายพันธุ์สู่ “Three Something World” หรือ “Three New World”
คุณท็อปได้กล่าวว่าโลกที่เราคุ้นเคยมาตลอดตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมานั้นคือ “Post-World Order” ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นพี่ใหญ่ที่คอยจัดระเบียบโลก และแนวคิด “Globalization” ที่ส่งเสริมการค้าเสรีผ่านองค์กรต่างๆ อย่าง WTO และ UN รวมถึงจีนที่เป็นฐานการผลิตหลักของโลกในรูปแบบ Centralized Supply Chain
อย่างไรก็ตาม คุณท็อปเชื่อว่าสถานการณ์เหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ “Three New World” ที่ตรงกันข้ามกับ Post-World Order และ Globalization โดยสิ้นเชิง ดังนี้:
- Re-regionalization (การรวมกลุ่มตามภูมิภาค): โลกจะขับเคลื่อนด้วยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคมากขึ้น เช่น กลุ่มประเทศอาเซียน (AEC) ที่จะมีประชากรกว่า 600 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก นอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่ม Middle East และกลุ่ม Emergence Zone อื่นๆ
- Multi-lateral System (ระบบพหุภาคี): จากเดิมที่มีสหรัฐฯ เป็นพี่ใหญ่เพียงรายเดียว โลกจะเข้าสู่ยุคที่มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ แข่งขันกัน ซึ่งทำให้ประเทศเล็ก-กลางต้องรวมกลุ่มกันเป็นภูมิภาคเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและสร้างข้อตกลงทางการค้าเสรี รวมถึงภาษีศุลกากร
- Fragmented Supply Chain (ห่วงโซ่อุปทานแบบกระจายตัว): จากเดิมที่เป็น Economies of Scale และ Centralized Supply Chain จะเปลี่ยนเป็นการกระจายตัวของฐานการผลิตไปทั่วโลก (Reshoring) โดยคำนึงถึงปัจจัยรักชาติและภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้น แทนที่จะเน้นเพียงต้นทุนที่ถูกที่สุด นอกจากนี้ กฎการแข่งขันก็จะเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ “ถูกที่สุด” แต่ต้อง “เขียวที่สุด” “อยู่ถูกโลเคชั่น” และมี “Readiness” หรือความพร้อมของแต่ละประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง
- Decentralized Trust (ความเชื่อมั่นที่กระจายตัว): ความเชื่อมั่นในสถาบันกลางอย่าง IMF หรือ World Bank จะลดลง รัฐบาลจะเชื่อใจกันเองน้อยลง และประชาชนจะเชื่อใจรัฐบาลน้อยลงเช่นกัน ทำให้แต่ละประเทศต้องกระจายความเสี่ยงด้วยการเพิ่มจำนวนคู่ค้า เช่น ประเทศไทยที่เริ่มขยายคู่ค้าไปยังกลุ่ม Middle East และแอฟริกา
- China’s Transformation (การเปลี่ยนแปลงของจีน): จีนจะเปลี่ยนจากการเป็นฐานการผลิต (Manufacturing) ที่เน้นปริมาณไปสู่ “Tech Economy” ที่เน้นคุณภาพ (Quality) แบบ Craftsmanship เหมือนญี่ปุ่นในอดีต ในขณะที่ประเทศอย่างอินเดียและแอฟริกาจะกลายเป็นฐานแรงงานและตลาดผู้บริโภคที่สำคัญ เนื่องจากปัญหาประชากรสูงอายุ (Aging Society) ทั่วโลก
คุณท็อปเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะทำให้เกิด “Disruptive World” ที่ทุกสิ่งจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารู้จักมา
#2 AI: The Game Changer และความได้เปรียบของจีน
คุณท็อปได้เน้นย้ำถึงกระแส AI ที่กำลังมาแรงอย่างมาก และกล่าวถึงการประชุมที่ Summer Davos ที่ผ่านมาว่า เดิมทีสหรัฐฯ ถูกมองว่ามีภาษีเหนือกว่าจีนในด้าน AI เนื่องจากเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและมีตลาดทุนขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้เริ่มพลิกผัน คุณท็อปชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบของจีน 3 ประการสำคัญที่เรียกว่า “AI Plus” ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI:
- DeepMind: Open Source (ระบบเปิด): จีนจะใช้โมเดล DeepMind ในรูปแบบ Open Source ที่สามารถกระจายไปสู่ทุกอุตสาหกรรมได้
- Huawei: Community Power (พลังชุมชน): หัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐ จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายพลังคอมพิวเตอร์และโซลูชั่น AI ไปยังทุกอุตสาหกรรม
- Data, Data, Data (ข้อมูล): จีนมีปริมาณข้อมูลที่มากที่สุดในโลก และรัฐบาลสามารถสั่งให้เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เพื่อแบ่งปันในทุกอุตสาหกรรมได้ ทำให้เกิด “Share Open Data”
นอกจากนี้ จีนยังมีพลังงานไฟฟ้าที่ถูกกว่าสหรัฐฯ หลายเท่าตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน AI ที่ใช้พลังงานมหาศาล
คุณท็อปกล่าวว่า AI Plus จะทำให้จีน “บังคับ” ให้ทุกอุตสาหกรรมใช้ AI เป็นระบบปฏิบัติการ และจะส่งผลให้จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด สิ่งที่น่ากลัวคืออำนาจของรัฐบาลจีนที่สามารถสั่งการได้ตามต้องการ
โดยสรุปแล้ว คุณท็อปมองว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการ “กลายพันธุ์” ที่ทุกสิ่งจะกลับตาลปัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ การกระจายตัวของห่วงโซ่อุปทาน และการเข้ามาของ AI ที่จะเปลี่ยนโฉมธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วโลก
ทั้งหมดนี้คือการฉายภาพของเทรนด์ของธุรกิจสำคัญ ทั้งในพาร์ทของธุรกิจขนาดย่อมโดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่วันนี้กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่ และพาร์ทของธุรกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี และการแข่งขันต่อสู้กันในระดับโลก ซึ่งล้วนแต่กระทบกับไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ประกอบการไทยจะต้องเข้าใจและปรับตัวให้ทันอย่างรวดเร็ว.