หากเราสังเกต Facebook ในช่วงไม่กี่ปี เราจะพบว่าเราเห็นคลิปวีดีโอและ Live บน New Feed มากขึ้น ยิ่งมีคนดูคลิปวีดีโอออร์แกนิคตัวหนึ่งมากขึ้นเท่าใด วีดีโอโฆษณาที่มีราคาสูงก็ยิ่งมีโอกาสโผล่ใน New Feed ของเรามากขึ้นตาม กลยุทธ์ของ Facebook ต่างๆไม่ว่าจะเป็นการปรับให้คลิปวีดีโอเล่นเองอัตโนมัติ จ่ายเงินให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ถ่ายทอดสด และเสนอเครื่องมือเพื่อความคิดสร้างสรรค์ ล้วนทำให้ Facebook ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
Facebook 2013 ถึง 2016: เกาะกระแสอินเตอร์เน็ตมาแรง คนใช้มือถือมากขึ้น และ Ice Bucket Challenge!
ย้อนไปปี 2013 คลิปวีดีโอเป็นของหายากบน New Feed เลยทีเดียว อัพโหลดคลิปบน Facebook เป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า เพราะช้าเหลือเกิน กว่าจะโหลดและได้ดูก็ปาไปอีกชาติ ต่อมาพอได้ข่าวว่า Facebook วางแผนจะให้มีคลิปโฆษณาเล่นเองอัตโนมัติ ผู้ใช้งานที่ไหนจะพอใจล่ะ?
เมื่อเข้าปี 2014 Facebook ปรับให้คลิปวีดีโอใน New Feed เล่นเองได้ทันที ซึ่งการปรับครั้งนั้นถูกจังหวะจริงๆในช่วงแคมเปญรณรงค์ Ice Bucket Challenge เข้าใจโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง คลิปวีดีโอออร์แกนิคบน Facebook จึงเป็นที่นิยมมากขึ้น
ปี 2015 รายได้ต่อหัวผู้ใช้งานโดยเฉลี่ยเพิ่มเป็นร้อยละ 49.1 ในอเมริกาและแคนาดาซึ่งเป็นประเทศที่นักโฆษณาโฟกัส มีกำลังซื้อสูง และมีเครือข่ายโทรศัพท์ที่รวดเร็วพอที่ทำให้ผู้ใช้งาน Facebook หลายล้านคนเสพย์คอนเทนต์วีดีโอได้จุใจ เทียบกับปีก่อนๆแล้ว ผู้ใช้งานแต่ก่อนจึงไม่ชอบแชร์คลิป เพราะเวลาจะดูคลิปบน New Feed แต่ละที ก็ต้องรอโหลด 30 วินาทีถึงจะได้ดู (นานมาก) แต่เดี๋ยวนี้เห็นคลิปบน New Feed ปุ๊ป มันเล่นเองทันที จะใช้Facebook ถ่ายวีดีโอและอัพโหลดบน New Feed ทันทีก็ยังได้ ไม่ต้องรอห้านาทีเหมือนก่อนแล้ว
ซึ่งไม่แปลกใจที่เดี๋ยวนี้ คลิปวีดีโอและโฆษณาวีดีโอได้รับการตอบรับดีขนาดนี้ โตแซงตลาดทั่วโลกที่มีรายได้ต่อหัวผู้ใช้งานโดยเฉลี่ยเพิ่มร้อยละ 35 เท่านั้นเอง รวมไปถึงยอดผู้ดูวีดีโอด้วย
ส่วนยอดผู้ดูคลิปที่สูงขึ้นมากเป็นปรากฎการณ์ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกล้องบนสมาร์ทโฟนที่คมขึ้น หน้าจอใหญ่ขึ้น ดูคลิปได้เต็มอิ่ม ผู้ใช้งานหันมาเสพคอนเทนต์บนมือถือมากขึ้น เครื่องมือทำวีดีโอก็ใช้ง่ายและเป็นมืออาชีพ นี่ยังไม่นับ Facebook Live ที่เพิ่งเข้ามา มีฟิลเตอร์มีเอฟเฟกต์มีกราฟฟิคสารพัดให้ใส่ กะไม่ไว้หน้าคู่แข่งอย่าง Snapchat เลย ล่าสุด Facebook มีผู้กลับมาใช้งานต่อเดือนค่อยๆเพิ่มขึ้นด้วยหลังจากที่ Snapchat มาแรงในปี 2014
Facebook ปฏิรูปวงการโฆษณาทั่วโลก
Facebook จึงกลายเป็นเครือข่ายให้วงการโฆษณาไปเลย คลิปวีดีโอกลายเป็นเรื่องปรกติบน New Feed Facebook ได้ใจก็ให้วีดีโอแสดงบน New Feed บ่อยขึ้นเรื่อยๆแถมเนียนแนะนำคลิปที่ผู้ใช้อาจสนใจอีกด้วย นักโฆษณาก็เลยต้องปรับวิธีเล่าเรื่องในคลิปโฆษณา ตัดเกริ่นทิ้ง ใส่ Call to Action ไว้แรกสุดทันที เน้นภาพเคลื่อนไหวสะดุดตา ใส่ซับไตเติ้ลไว้หากผู้ใช้งานปิดเสียง
แต่ก่อนหากพูดถึงโฆษณา เรามักจะนึกถึงแบรนด์ใหญ่ๆ ทุนหนาๆ มีงบทำโฆษณาบนทีวี แต่เมื่อ Facebook เข้ามาทำให้แบรนด์เล็กๆ อย่าง SMEs สามารถทำคลิปโฆษณาได้ง่ายๆ แค่มีสมาร์ทโฟนถ่าย ตัดต่อและอัพโหลดเพียงพอแล้ว ซึ่งเดือนที่แล้วพบว่าธุรกิจกว่า 3 ล้านแห่งโพสต์วีดีโอบน Facebook ทั้งแบบออร์แกนิคและแบบโฆษณา
โฆษณาในทีวี จึงไม่เหมือนโฆษณาบน Facebook อีกต่อไป
Facebook เลยแอบขึ้นราคาวีดีโอโฆษณาอีก 6% ในไตรมาส 3 โกยรายได้ซะเลย
กว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐที่ Facebook ทำรายได้ไปในไตรมาสล่าสุดในปี 2016 พร้อมกับกำไรอีก 2.35 พันล้านเหรียญสหรัฐก็เป็นผลมาจากยอดผู้ใช้งานที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง และความสามารถของวีดีโอที่ดึงผู้ใช้งานหน้าใหม่มาโต้ตอบได้มากขึ้น
วัดกันตัวๆ! จุดแข็งและจุดอ่อนของ Facebook VS SnapchatTwitter และ Youtube
สื่อสังคมออนไลน์อย่างอื่นเช่น SnapchatTwitter แม้แต่ Youtube เองก็ได้เปรียบ Facebook บางจุด อย่างคลิปโฆษณาของ Snapchat จะเป็นแนวตั้ง ผู้ใช้งานก็ดูง่าย ไม่เหมือนคลิปบน Facebook ที่ต้องตะแคงถึงจะดูคลิปได้จุใจ ส่วน Youtube ก็ใช้หลัก Permission Marketing เพราะเวลาคนเข้ามา Youtube เขาเข้ามาเลือกคลิปที่อยากดู หมายความว่าเขา “อนุญาต”ให้ Youtube แสดงโฆษณาที่ติดมากับคลิปที่อยากดูด้วย Twitter ที่มีคลิปวีดีโอพรีเมี่ยมที่ดึงดูดใจนักโฆษณาเช่นกัน
แต่ Facebook ก็พอจะมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง อย่างจำนวนผู้ใช้งานกว่า 1.79 พันล้านคนเป็นจำนวนที่ล่อใจนักโฆษณามาก ความสำเร็จตลอด 5 ปีของ Facebook ทำให้มีรายได้พอที่จะพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) ให้เข้าใจคอนเทนต์ของผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นข้อความรูปภาพ และคลิป และเอาไปใช้กำหนดให้คลิปวีดีโอกับโฆษณาปรากฎบน New Feed ของกลุ่มเป้าหมายที่ใช่
มาร์ก ซักเกอร์เบิร์คเคยลั่นไว้ในปี 2014 ว่า คอนเทนต์บน Facebook ส่วนใหญ่จะเป็นวีดีโอในอีก 5 ปี และดูเหมือนว่า Facebook จะไปได้สวยทั้งรายได้ ทั้งยอดผู้ใช้งาน
Facebook อาจทำได้จริงอย่างที่ลั่นไว้
แหล่งที่มา