80 ปี ชาตรามือ ‘แบรนด์เก่า ที่ไม่เคยแก่’ กับการปรับตัวผ่านยุคสมัย เดินหน้าสู่ ‘Global Brand’ เต็มตัว

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

‘ชาไทย’ หนึ่งเมนูชาที่เชื่อว่าขึ้นแท่นเมนูโปรดตลอดกาลของใครหลายคน ด้วยรสชาติหวานละมุนผสมรวมกับกลิ่นใบชาได้อย่างลงตัว และสีส้มเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องดื่มชนิดนี้ กลายเป็นส่วนผสมอันสมบูรณ์แบบในการครองใจ ‘แฟนชาส้ม’ ได้อย่างอยู่หมัด จนน่าสนใจว่า เพราะอะไร? เครื่องดื่มที่ไม่ได้มีกรรมวิธีมากไปกว่าใบชาต้มน้ำร้อน แล้วใส่นมเพิ่มเข้าไปถึงโด่งดังจนกลายเป็นที่รักของทั้งชาวไทย-ชาวต่างชาติมานานต่อเนื่องทุกยุคทุกสมัย

หากเรามองย้อนกลับไปในอดีต การดื่มชาคือวิถีชีวิตของคนไทยฝังรากลึกมาหลายรุ่นแล้ว โดยในบรรดาแบรนด์ที่อยู่คู่ความทรงจำนั้น คงไม่มีชื่อไหนจะฉายภาพชาไทยได้ชัดเจนเท่า ‘ชาตรามือ’ ที่ปีนี้ครบรอบ 80 ปีพอดี

 

ย้อนเวลา 80 ปี สู่จุดเริ่มต้น ‘ชาตรามือ’

 

 

สำหรับแบรนด์ ‘ชาตรามือ’ นั้น มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว “เรืองฤทธิเดช” ได้อพยพมายังกรุงเทพฯ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย ‘ซาแป่ เรืองฤทธิเดช’ เป็นผู้ริเริ่มเปิดร้านชาจีนในชื่อ “Lim Meng Kee” บนถนนเยาวราชในปี พ.ศ. 2468 

ในยุคนั้น ร้าน Lim Meng Kee นำเข้าชาจากจีนไม่ว่าจะเป็นชาอู่หลง ชาเขียว หรือชาดำ ซึ่งจัดจำหน่ายทั้งแบบ B2B-ค้าปลีก กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ร้าน Lim Meng Kee ต้องย้ายมาเปิดร้านในซอยผดุงด้าว พร้อมกับเริ่มนำเข้า ‘ชาแดง’ สามารถชงเย็นได้ เหมาะกับอากาศร้อนของไทย โดยในช่วงหลังสงครามนี้เองชาวไทยเริ่มคุ้นเคยกับ เมนู ‘ชาเย็น’ ใส่นมข้นหวาน กลายเป็นสูตรที่มีมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ด้วยความสามารถในการพัฒนาสูตรชงชา รวมถึงการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพสูง ดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดช ทายาทรุ่นสองของครอบครัว จึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ชาไทยขึ้นมาอย่างจริงจัง

 

เส้นทางหลังตัดสินใจตั้งตัวเป็น ‘ธุรกิจ’ จริงจัง

 

ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่มีการตั้งชื่อแบรนด์อย่างจริงจัง มีเพียงโลโก้ “รูปมือกำลังยกนิ้วโป้ง” บนห่อชา และเสียงปากต่อปากของผู้มาดื่มชาว่า “ชาเจ้านี้อร่อย ยกนิ้วให้” ลูกค้าจึงเรียกกันว่า “ชาตรามือ” ซึ่งต่อมาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อแบรนด์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2488 ก่อนจะจดทะเบียนในชื่อบริษัท ชาไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

โดยในตอนนั้น ชาตรามือยังเน้นจำหน่ายชาแบบ B2B ให้กับร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ไปจนถึงผู้ผลิตอื่นๆ ที่ต้องการใช้ชาคุณภาพสูงไปชงขายต่อ โดยเฉพาะเมนู ‘ชาไทย’ ที่มีความหอมเข้มเฉพาะตัว เริ่มกลายเป็นสินค้ายืนพื้นในร้านน้ำ ชาตรามือจึงกลายเป็น “หลังบ้านของแบรนด์อื่น” แทบไม่มีใครมองเห็น แต่ขาดไม่ได้

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อชาตรามือเริ่มออกงานอีเวนต์-นิทรรศการต่างๆ โดยนำชาไปชงให้ผู้บริโภคชิมตรงหน้า การได้เห็นปฏิกิริยาของลูกค้าที่ดื่มแล้วชอบ ชม แล้วกลับมาอีกรอบ จนเกิดเป็นประกายไฟครั้งใหม่ พร้อมพาแบรนด์ชาตรามือสู่การมีหน้าร้านเป็นของตัวเองครั้งแรก ณ ศูนย์การค้าเซ็นเตอร์วัน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่แม้จะเริ่มต้นจากร้านชั่วคราว แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับเกินคาด ชัดเจนว่าการเปิดตัวหน้าร้านเครื่องดื่มนั้นมาถูกทาง

ปัจจุบัน ชาตรามือมี 220 สาขาในไทย พร้อมตั้งเป้าสู่ 250 สาขาในปีนี้ โดยยังโฟกัสกรุงเทพ ไปจนถึงหัวเมืองหลักก่อน ส่วนสาขาต่างชาติมีรวมกว่า 114 สาขา ใน 11 ประเทศ ตั้งเป้าสู่ 130 สาขา ในสิ้นปีนี้ และเปิดในประเทศใหม่ 4 ประเทศ (แคนาดา, ลาว, อินโดนีเซีย และเม็กซิโก)

ด้านสินค้า ณ ตอนนี้มีรวมกว่า 50 SKUs ส่งออก 23 ประเทศ 5 ทวีป ผ่านทั้งช่องทาง Modern-Traditional ซึ่งท็อป 3 สินค้าขายดีคือ ชาเขียว, ชาอู่หลง และชากุหลาบ ตามลำดับ 

 

จากรุ่นสู่รุ่น เมื่อ ‘ความท้าทาย’ มีอยู่ในทุกยุคสมัย

 

 

หลังการวางรากฐานแบรนด์ชาตรามือที่แข็งแกร่งมั่นคงในรุ่น 2 ของดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดชสำเร็จลุล่วง ทายาทเจนล่าสุด (รุ่น 3) อย่าง ‘พราวนรินทร์ เรืองฤทธิเดช’ ได้รับช่วงต่อการบริหารแบรนด์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้าหลักสู่คนรุ่นใหม่ ชาตรามือเองจึงต้องกลับไปทบทวนกลยุทธ์ รวมถึงแนวทางบริหารกันใหม่เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้ายุคนี้มองหา ‘ประสบการณ์’ และ ‘ความหลากหลาย’ มากกว่าความคุ้นเคยเดิมๆ ที่เคยมั่นคง

เมื่อโจทย์ใหม่ของตลาดไม่ใช่แค่ “ชาอร่อย” แต่ต้องสร้างประสบการณ์และความตื่นเต้น ชาตรามือในมือของพราวนรินทร์จึงเริ่มต้นการทดลองครั้งใหญ่สะท้อนแนวคิด “ไม่หยุดนิ่ง” ด้วยการเปิดตัว ชากุหลาบ (Rose Tea) ได้เปลี่ยนภาพจำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไปพร้อมกับกลุ่มคนรักสุขภาพได้ง่ายขึ้น สะท้อนความสำเร็จด้านการรับรู้แบรนด์ผ่านกระแสตอบรับในโลกโซเชียล และยอดขายเติบโตดี 

ต่อจากนั้น จึงมีการทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น

– ไอศกรีมชาไทย–ชาเขียว ขยับเข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของหวาน

– ชาแบบ Instant ชงง่าย พกสะดวก เจาะกลุ่มคนทำงาน

– ชา RTD (Ready to Drink) ผสมโซดา หรือแบบ sparkling ขายในช่วงเทศกาล

– ชาไทยไม่แต่งสี พัฒนาจากสารสีธรรมชาติ (เช่น เบต้าแคโรทีน) ตอบรับกระแส Clean Label และความกังวลเรื่องสีผสมอาหาร

ภายใต้แนวคิด ‘การปรับแบรนด์’ ไม่ได้จำกัดเฉพาะตัวสินค้าเท่านั้น ชาตรามือยังลงทุนใน ‘ประสบการณ์เชื่อมต่อ’ กับผู้บริโภคยุคใหม่ ด้วยการเปิดตัว แอปพลิเคชัน Loyalty Program ให้ลูกค้าสะสมคะแนน สั่งเครื่องดื่มออนไลน์ และเข้าถึงข่าวสารของแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเผยว่าจะเปิดตัวใน Q3 ปีนี้

 

เส้นทาง หลัง 80 ปี ‘ชาตรามือ’ เตรียมหันหัวแบรนด์สู่ ‘แบรนด์ระดับโลก’ เต็มตัว

 

ในโอกาสครบรอบ 80 ปี ชาตรามือเตรียมกิจกรรมพิเศษเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น 

– เทศกาลชาไทย ลาน CentralWorld วันที่ 19-21 กันยายน เปิดตัวเมนูชาไทยพิเศษร่วมกับพาร์ตเนอร์

– จัดกิจกรรม Thai Tea Star Challenge เชิญผู้สนใจคิดค้นเมนูชาไทยใหม่ พร้อมทีมกรรมการเชฟชื่อดัง รางวัลกว่า 1 แสนบาท

– จัดกิจกรรมหน้าสาขาทั่วประเทศและแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

 

 

นอกจากนี้ ด้านคุณเศรษฐิกิจ เรืองฤทธิเดช ยังเผยเป้าหมายต่อไป คือการพาแบรนด์ชาตรามือขึ้นสู่ระดับ Global Brand ทั้งยังเผยอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางแบรนด์มีการลงทุนในไลน์การผลิตที่โรงงานเพื่อรองรับความต้องการได้มากขึ้น และไลน์สินค้าใหม่ๆ ในอนาคตไว้แล้ว ด้านศักยภาพของแบรนด์เองมองว่าสามารถพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าให้ไกลขึ้นแล้ว สะท้อนผ่านผลประกอบการของแบรนด์ที่ทำกำไรได้ต่อเนื่อง และเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งปี 2568 นี้ตั้งเป้าโตขึ้น 20% และมองว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้

 

  • ปี 2565: รายได้รวม 2,104 ล้านบาท กำไร 34.5 ล้านบาท
  • ปี 2566: รายได้รวม 2,637 ล้านบาท กำไร 43.8 ล้านบาท
  • ปี 2567: รายได้รวม 3,505 ล้านบาท กำไร 59.5 ล้านบาท

*ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

 

ชาตรามือคือบทพิสูจน์ว่าแบรนด์ที่เติบโตจากพื้นฐานของความเข้าใจผู้บริโภคและการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง สามารถพาตัวเองผ่านทุกช่วงเปลี่ยนของตลาด กลายเป็นตัวอย่างของธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และพร้อมเปิดรับโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ


  •  
  •  
  •  
  •  
  •