เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สำหรับ “อาดิดาส แบรนด์ เซ็นเตอร์” ช็อปอาดิดาสที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนและแปซิฟิก ที่ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยวางจำหน่ายสินค้าอาดิดาสทุกดิวิชั่น พร้อมสร้างเซอร์ไพร์สให้วงการแบรนด์กีฬาในประเทศไทยกับพื้นที่กว่า 1,100 ตารางเมตรเลย อัดแน่นด้วยนวัตกรรมสินค้ากีฬาและโซน product experience แนวดิจิตัลอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการออกกำลังกายและในเกมกีฬา ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Here To Create’
แต่เชื่อว่าเป็นคำถามคาใจของใครหลายคนว่าทำไม Adidas แบรนด์ใหญ่ระดับโลกขนาดนี้ถึงเลือก ประเทศไทย ในการเปิดBrand Center ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและแปซิฟิกทำไมไม่ใช่สิงค์โปร หรือออสเตรเสีย และไทยมีศักยภาพอะไรบ้าง โดย เทพฤทธิ์ ไรวินท์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) ไขข้อข้องใจให้เราทราบ
สำหรับ Brand Center แห่งนี้นับเป็นแห่งที่ 9 ของโลก โดยยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้มีที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง โซล ปารีส มิลาน เป็นต้น สำหรับที่ไทยถูกออกแบบตกแต่งคล้ายกับสนามกีฬา โดยจะมีสินค้ากีฬาประเภทบาสเกตบอลและเทนนิส ที่ไม่ค่อยมีในสาขาอื่น
และอย่างที่เกริ่นไว้ ถึงเหตุผลหลักๆ ที่ Adidas ตัดสินใจมาเปิด Brand Center ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก เราได้จับประเด็นออกมาเป็น 3 เหตุผลหลักๆ ดังนั้น
3 เหตุผล
1.ตลาดไทยมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีมาก เป็นแบรนด์สปอร์ตอันดับ 1 ของประเทศ
เทพฤทธิ์ ระบุว่า การที่จะสามารถเปิด Brand Center ได้ จะต้องมีเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ดี ทั้งในแง่ยอดขายและความเป็น Brand Love ซึ่งวันนี้ Adidas ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างดีเยี่ยมในปีที่ผ่านมา โดยเราป็นแบรนด์สปอร์ตอันดับ 1 ของประเทศ นั่นจึงทำให้เห็นว่า ตลาดไทยมีศักยภาพพอ และยังจะเติบโตได้ต่อไปมากกว่านี้ด้วย
2.เทรนด์รักสุขภาพ และการเล่นกีฬาของไทยเติบโตมาก
ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จึงทำให้เทรนด์กีฬามันเติบโตเพิ่มขึ้น คนเริ่มตระหนักมากขึ้นเรื่องสุขภพ ก็ส่งผลให้ตลาดด้านกีฬามันเติบโต และนอกจากเทรนด์ออกกำลังกายแล้วก็ยังมี เทรนด์การกินอาหาร อาหารเฮลท์ตี้ กินคลีน คู่ไปกับการออกกำลังกาย เพราะคอนซูเมอร์รักตัวเองมากขึ้น กอปรกับความนิยมในลีกไทยที่เพิ่มมากขึ้น ก็ดันให้ตลาดกีฬาเติบโตตามไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิ่ง (Running) ซึ่งคนนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแม้แต่การเทียบยอดขายตามประเภทชนิดกีฬา อุปกรณ์รันนิ่งก็เติบโตสูงสุด รองลงมาได้แก่ เทรนนิ่ง และฟุตบอล
ดังนั้น เทรนด์ของการรักสุขภาพรักกีฬาของคนไทยที่เติบโตขึ้น จึงเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แบรนด์ให้ความสำคัญกับตลาดเมืองไทยสูงมากนั่นเอง
3.การเติบโตของเทรนด์สปอร์ตแวร์ในบ้านเรา
สืบเนื่องจากเทรนด์ของการรักสุขภาพและการชอบกีฬามากขึ้นของคนไทย จึงเป็นที่มาของ สปอร์ตแวร์เทรนด์ ที่เติบโตมากขึ้นเช่นกัน ผู้คนโดยเฉพาะคนไทย หันมาใส่ชุดกีฬาเป็นชุดลำลองมากขึ้น ซึ่งถ้าปกติเมื่อก่อนเราแต่งตัวแบบนี้ ใส่เสื้อกางเกงวอร์ม รองเท้าผ้าใบ คนก็อาจจะคิดว่าเราเป็นครูพละ แต่ ณ ปัจจุบัน ทุกคนหันมาแต่งกันแบบนี้เป็นเรื่องปกติทั่วไป มันมีการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์ และคำว่าแฟชั่นก็สามารถเข้าถึงความเป็นกีฬาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ถึงศักยภาพและการเติบโตในตลาดไทยแล้วกลยุทธ์อะไรล่ะที่จะทำให้ Adidas ครองตลาดนี้ไปได้นานๆ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล 4.0 ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรามองว่ามันคือ 3 กลยุทธ์สำคัญดังนี้
3 กลยุทธ์
1.การใช้เทคโนโลยี Interactive
เทพฤทธิ์ บอกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไม่ได้มาแค่ซื้อของแล้วออก แต่ เขาใช้เวลาในการเลือกซื้อของเยอะขึ้น และก่อนก็ยังต้องไปศึกษาบนเน็ตอีกด้วย ดังนั้น เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้วเวลาที่มาเดินดูก็ไม่ได้อยากใช้เวลาให้อยู่กับเสื้อผ้าแต่เพียงอย่างเดียว เราก็เลยมีกิจกรรม Interactive ต่างๆ ภายใน Brand Center ดังนี้
- Sutu Wall โซนฟุตบอลอินเตอร์แอคทีฟมาพร้อมกับกำแพงดิจิตัล สำหรับให้ลูกค้าสวมใส่รองเท้าฟุตบอลอาดิดาส ทดลองเตะลูกฟุตบอลตามที่กำแพงจะชาเลนจ์คุณ เพื่อวัดประสิทธิภาพฝีเท้าและความคล่องตัวเมื่อใส่รองเท้าฟุตบอลอาดิดาส
- Shoe Mirror เมื่อลูกค้าสวมใส่รองเท้าอาดิดาสหน้า Shoe Mirror กระจกจะบอกรายละเอียดและจุดเด่นของรองเท้าเบื้องต้น เพื่อให้ลูกค้าทราบประสิทธิภาพของรองเท้าอาดิดาสในแต่ละคู่ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการสวมใส่
- Print Screen บริการสกรีนชื่อและเบอร์ลงบนเสื้อฟุตบอลสโมสรและเสื้อฟุตบอลทีมชาติที่วางจำหน่ายในร้าน
- Run Lab ลู่วิ่งเทรดมิลล์ที่วิเคราะห์รูปเท้า เพื่อช่วยหารองเท้าที่เหมาะสมสำหรับรูปเท้าของคุณ พร้อมทั้ง ข้อมูลและรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละเดือนของทีม Adidas Runners Bangkok เป็นอีกโซนเพื่อรองรับเทรนด์วิ่งที่เพิ่มขึ้นในเมืองไทย
“Interactive คือการช่วยให้ผู้บริโภคมี engagement กับแบรนด์ได้ จากปกติคุณเดินเข้าร้านคุณอาจจะไม่รูจักกับแบรนด์เลย แต่ว่าถ้ามีกิจกรรมที่แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ ก็อาจจะทำให้ผู้บริโภครักแบรนด์คุณมากขึ้น มันคือการเพิ่มเวลาให้ลูกค้าได้อยู่กับเรานานขึ้น”
2.ตอบรับเทรนด์ดิจิทัล ตามการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
จากพฤติกรรมการนิยมซื้อของออนไลน์ของผู้บริโภค ก็ทำให้เราออกแบบบริการการสั่งสินค้าตามไลฟ์สไตล์ใหม่ ได้แก่ Click and collect คือการที่ผู้บริโภค สามารถคลิกไปบนหน้าเว็บออนไลน์เพื่อสั่งซื้อ แต่ไม่จำเป็นต้องรอการจัดส่ง แต่สามารถมารับของที่ Brand Center แห่งนี้ให้เลย เป็นการปรับเซอร์วิสของเราให้เข้ากับโลกมากขึ้น
“คอนซูเมอร์ไม่เหมือนเมื่อก่อน ดังนั้น การทำตัวเหมือนเดิมก็ไม่ช่วยอะไรเลย เมื่อคอนซูเมอร์เปลี่ยนแบรนด์ก็ต้องปรับเปลี่ยนด้วย”
3.ได้สินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ ครบที่สุดและมากที่สุดอีกด้วย
ความเจ๋งอีกอย่างของBrand Center ที่เทพฤทธิ์ย้ำก็คือ เมื่อก่อนแบรนด์จะแยกกัน (ระหว่างแบรนด์สปอร์ต กับออริจินัล) บางทีของก็ไม่ครบบ้าง ต้องแยกกันเดินตามหาบ้าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างจะมารวมศูนย์อยู่ที่นี่ครบหมดทั้ง 2 แบรนด์ เรียกได้ว่าจะเป็น Shopping Destination
นอกจากนี้ ในส่วนของความเอ็กซ์คลูซีฟ เราก็ยังมีรุ่นลิมเต็ด และรุ่นพิเศษจำหน่ายอยู่ที่นี่ด้วย เช่น เดียว UltraBoost Laceless Superblack และ UltraBoost Chiness New Year สองรุ่นนี้หาที่ไหนในประเทศไทยไม่ได้ต้องมาที่นี่เท่านั้น
Here to Create
ท้ายสุด เทพฤทธิ์ ได้อธิบายให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นของความหมายที่แท้จริงของคอนเซ็ปต์ Brand Center ได้แก่ Here to Create ซึ่งใช้เหมือนกันทั่วโลกว่า
เราพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ เราพูดถึง Creativity เพราะเราเชื่อว่านักกีฬาถ้าเขาไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เขาไม่สามารถปลดล็อคเพอร์ฟอร์แมนซ์ตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เลียวเนล เมสซี่ หรือ ดีดีเย ดร็อกบา ถ้าสังเกตดูนักฟุตบอลเหล่านี้มีเอกลักษณ์ในการเล่นของตัวเอง ซึ่งนั่นมาจากความคิดสร้างสรรค์ และมันยังสามารถปลดล็อคเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเขาได้ ดังนั้น Adidas จึงพร้อมที่จะ encourage ให้ทุกคนเอาความคิดสร้างสรรค์มาใช้กับการเล่นกีฬา เพราะการเล่นแล้วมีความครีเอท มันจะทำให้เราไม่เหมือนคนอืน และทำให้เราเก่งขึ้นมาก เป็นการฉีกกฎออกมาจากกรอบ
