หลังจากปล่อยปริศนา #ตัวDของบิวกิ้น มาพักใหญ่ พร้อมกับคำใบ้มากมายว่าใครจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่ของ “ดิฟแฟลม” ในที่สุดก็เฉลยเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ได้แก่ “บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” นักร้องและนักแสดงชื่อดัง แถมยังเป็น CEO Self made ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเลย เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบที่ดีของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งเส้นทางของ “บิ้วกิ้น” ก่อนจะได้มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ “ดิฟแฟลม” น่าสนใจมากอยากเชิญชวนให้ร่วมกันติดตาม
อย่างไรก็ตาม ขอวกเข้าเรื่องทางการตลาด เรารู้จักกลยุทธ์การใช้ Endorser marketing ในการเป็นตัวแทนของแบรนด์เพื่อที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคและลูกค้ามานานแล้ว แต่ระยะหลังเราเห็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยผลักดันแบรนด์เพิ่มเติม ได้แก่ Fandom marketing ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและได้ผลการตอบรับที่ดีด้วย ซึ่งเรามองว่าการที่ “ดิฟแฟลม” เลือก “บิวกิ้น” คือการผสานระหว่าง Endorser marketing และ Fandom marketing ได้อย่างน่าสนใจ จนอยากจะหยิบมาเล่าให้ฟัง
“ดิฟแฟลม” (Difflam) เป็นยาอมฆ่าเชื้อโรคในช่องปากและลำคอ โดย บริษัท ไอโนวา ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดเมืองไทย สิ่งที่จะช่วยทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น แบรนด์เลือกที่จะใช้กลยุทธ์ฉีดยาแรงเลย เอาให้ตู้มบู้มทีเดียวปัง! ด้วยการใช้ Endorser marketing ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ได้ประสิทธิภาพ ใช้เมื่อไหร่ก็เปรี้ยง ช่วยในการจดจำแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ในยุค 5G ที่พรีเซ็นเตอร์เกลื่อนตลาด แล้วยังต้องสู้กับปริมาณคอนเทนต์มากมาย หากใช้เพียงแค่กลยุทธ์เดียวไม่เพียงพออย่างแน่นอน ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์ในปัจจุบันตัดสินใจสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยก็คือการใช้ Fandom marketing หรือพลังของเหล่าแฟนคลับเข้ามาเสริมกำลัง ซึ่งจะทำให้แบรนด์นอกจากจะเข้าไปอยู่ในการจดจำของผู้บริโภคแล้ว ยังได้รับการซัพพอร์ตเพิ่มขึ้นจากเหล่าแฟนคลับของพรีเซ็นเตอร์จากแบรนด์อีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ “ดิฟแฟลม” เลือกที่จะใช้ 2 กลยุทธ์นี้ในการบุกตลาดไทย เพราะเป็นตัวแทนของส่วนผสมทั้งสองกลยุทธ์ได้ลงตัวที่สุด
แต่ทำไมต้องเป็น “บิวกิ้น” ?
ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ
แน่นอนว่าการเลือกตัวแทนของแบรนด์ย่อมต้องเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียง มีภาพลักษณ์ที่ดี และได้รับการยอมรับต่อสังคม ซึ่ง “บิวกิ้น” ไม่เพียงแค่เป็นนักแสดงวัยรุ่นที่ได้รับความนิยม แต่ยังเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มากความสามารถ เก่งทั้งด้านการแสดง ล่าสุด ยังประสบความสำเร็จในระดับโลกกับภาพยนตร์ “หลานม่า” ที่ทำเงินสูงกว่า 1,200 ล้านบาท มากไปกว่านั้น “บิวกิ้น” ยังเป็นที่ชื่นชอบทั้งกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มคนทำงาน และผู้สูงวัย หลากหลายอายุที่ชื่นชมในตัวบิวกิ้น ซึ่งทำให้การขยายฐานลูกค้าของแบรนด์เข้าถึงคนได้กับคนทุกเพศทุกวัย
ศิลปินผู้ใช้เสียงเป็นอาชีพ รีเลทกับแบรนด์ได้อย่างลงตัว
นอกเหนือจากเป็นนักแสดงแล้ว อีกบทบาทหนึ่งคือ “บิวกิ้น” ยังเป็นนักร้องที่ได้รับการยอมรับถึงความสามารถในด้านนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การร้องร่วมกับวงออร์เคสตรา หรือการเปิดคอนเสิร์ตต่างประเทศก็ประสบความสำเร็จมาก ซึ่งจุดนี้สำคัญมาก เรียกว่าเป็นคนหนึ่งที่ใช้เสียงเป็นอาชีพ ซึ่งรีเลทกับแบรนด์อย่าง “ดิฟแฟลม” เป็นอย่างดี เพราะการใช้เสียงการร้องเพลงอาจจะเกี่ยวพันกับการเจ็บคอได้ การที่ศิลปินระดับนี้เลือกเป็นตัวแทนแบรนด์จึงทำให้แบรนด์ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ฐานแฟนคลับมหาศาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ
พลังของ Fandom marketing ปัจจุบันไม่มีใครปฏิเสธได้ ซึ่งสร้างความสำเร็จให้กับแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์นี้มาแล้ว ยิ่งสำหรับ “บิวกิ้น” ซึ่งเป็นศิลปินที่โด่งดังทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค แฟนคลับชาวจีนก็ได้รับความนิยมมาก จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่จีนก็ประสบความสำเร็จ ล่าสุด หนังหลานม่า ก็ได้รับการตอบรับดีอย่างถล่มทลายด้วยราได้พันกว่าล้านบาท ก็ยิ่งสร้างพลังการซัพพอร์ตให้มีผลต่อแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น เพราะแบรนด์ยาอม “ดิฟแฟลม” นั้นเป็นแบรนด์โกลบอล การที่ได้ศิลปินที่ได้รับความนิยมในระดับอินเตอร์ย่อมเป็นเสริมซึ่งกันและกันมากกว่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น กลับมาที่คำเฉลยของ #ตัวDของบิวกิ้น ก็คือการที่จะบอกว่า “ตัวดี” (หรือตัว D) ที่เป็นตัวช่วยชั้นดีให้ศิลปินคนเก่งอย่าง “บิวกิ้น” ได้ผ่านอุปสรรคเรื่องการใช้เสียงต่างๆ ไปได้ ที่แท้ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็น “D – Difflam” ยาอมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ หรือแม้แต่เมื่อเริ่มมีสัญญาณของการเจ็บคอก็ใช้ได้เลย ซึ่งจะทำให้ “บิวกิ้น” สามารถใช้เสียงได้อย่างมั่นใจ เพราะแม้แต่ศิลปินอย่าง “บิวกิ้น” ยังเลือก Difflam ดังนั้น คนอื่นๆ ที่มีปัญหาของการเจ็บคอก็ย่อมมั่นใจในการใช้ “Difflam” อย่างแน่นอน ทั้งหมดนี้จึงนับได้ว่าว่าเป็นแคมเปญที่กลมกล่อมมากจริงๆ .