
ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ที่เป็น Red Ocean และเต็มไปด้วยความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ไปจนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การปรับตัวอยู่เสมอของผู้ประกอบการย่อมเป็นทางรอดทางเดียวเท่านั้นในยุคสมัยแบบนี้
โจทย์สำคัญที่ทุกแบรนด์ต้องเผชิญคือ จะทำอย่างไรให้สามารถเข้าถึงและตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง ให้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกันก็ต้อง “ลดต้นทุน” ลงและเพิ่มประสิทธิภาพในภาพรวมให้ได้?
ในงาน LINE FOOD TECH 2025 ที่ Marketing Oops! ไปร่วมงานมาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม มีคำตอบให้กับปัญหาเหล่านี้ทั้งหมด เพราะ LINE ที่เราใช้ chat คุยกับเพื่อนคุยงานในออฟฟิสทุกๆวัน ไม่ได้มีไว้เพื่อสื่อสารอย่างเดียวเท่านั้นแต่สำหรับธุรกิจแล้ว LINE คือ Ecosystem ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นคำตอบให้กับธุรกิจ F&B ได้ โดยมีโซลูชันและเครื่องมือหลายอย่างที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูงแบบทุกวันนี้ได้

ตลาด F&B ปี 2025 ความท้าทายที่มาพร้อมโอกาส
จิตวิสุทธิ์ จุฑาวิจิตร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม LINE ประเทศไทย เผยว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในปี 2025 กำลังร้อนระอุ จากข้อมูลจาก DBD ล่าสุด ชี้ให้เห็นยอดจดทะเบียนร้านอาหารใหม่แซงขึ้นอันดับ 3 ของประเทศ สะท้อนการแข่งขันสูง การแข่งขันนี้ผลักดันให้แบรนด์หันมาปรับตัวสร้าง “Seamless Experience” เพื่อมอบประสบการณ์ไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ ราคา หรือความแตกต่างที่โดดเด่น
LINE ได้ผลักดันการสร้างประสบการณ์นี้ ผ่าน LINE Official Account (LINE OA) ที่มียอดส่งข้อความเพิ่มขึ้น 3% และการใช้งาน Messaging API ที่โตพุ่งแรงกว่า 2.75 เท่าใน 2 ปี ยืนยันว่าแบรนด์ต่างๆ พร้อมปรับใช้ Automation และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารที่ลื่นไหลและตรงใจลูกค้ามากขึ้น กระตุ้นยอดขายให้ไปไกล ลูกค้าชำระเงินไวขึ้น 80% และสินค้าตัวใหม่มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 50%

ในเซสชัน CUSTOMER BEHAVIOR IN THE CONVENIENCE CULTURE คุณวีระพงศ์ โก, Managing Director of On-Demand Services จาก LINE MAN Wongnai ได้ให้ภาพรวมตลาดล่าสุดที่ทำให้เราเห็นภาพว่าแม้สถานการณ์ตอนนี้จะท้าทาย แต่ก็ยังมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ
“ความท้าทาย” ที่ร้านอาหารกำลังเจออยู่ตอนนี้ก็เช่นยอดขายหน้าร้าน (Offline Sales) ลดลง โดยเฉพาะร้านอาหารที่ลดลงถึง14% ในไตรมาส 2 ของปี 2025 นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะราคาวัตถุดิบพุ่งสูงกว่า 25% ส่วนค่าแรงยังเพิ่มขึ้นอีก 5% นอกจากนี้ตลาดในเวลานี้ยังมีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา และน่าตกใจที่กว่า 50% ของร้านที่เปิดใหม่ต้องปิดตัวลงภายใน 1 ปีแรกด้วยเช่นกัน
แต่ในวิกฤตก็ยังมี “โอกาส” ซ่อนอยู่และ เทรนด์ล่าสุดที่ LINE MAN สรุปมาก็เช่น “มัทฉะ (Matcha)” ยังคงมาแรงแบบหยุดไม่อยู่กลายเป็นตลาดที่เติบโตเร็วมาก โดยยอดสั่งบน LINE MAN ทะลุ 5 ล้านแก้วไปแล้วแค่ในครึ่งปี 2025 และเมนูที่ถูกค้นหามากที่สุดคือ “Pure Matcha” สะท้อนเทรนด์รักสุขภาพที่ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ยังมีเทรนด์ใหม่อย่าง “ชานมเผือกโมจิ (Taro Milk Mochi)” ที่กลายเป็นไวรัล มีแบรนด์ใหญ่ๆ กระโดดเข้ามาเล่นด้วยการเพิ่มเมนูนี้เข้าไปให้ลูกค้าได้เลือก ด้วยยอดค้นหาใน LINE MAN ที่เพิ่มขึ้นถึง 530%
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การจะอยู่รอดและเติบโตได้ แบรนด์จำเป็นต้อง “จับโมเมนต์” ของผู้บริโภคให้ทัน และใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้ได้
เครื่องมือบน LINE OA ที่นักการตลาดต้องรู้

คุณศิรดา แสงทองสุข ที่ปรึกษาธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม LINE ประเทศไทย เล่าด้วยว่าเครื่องมือบน LINE OA ที่แบรนด์ F&B สามารถนำมาใช้สร้างประสบการณ์แบบ Seamless ให้กับลูกค้าได้ทันทีก็มีตั้งแต่ฟีเจอร์พื้นฐานไปจนถึงเครื่องมือขั้นสูงที่ช่วยยกระดับการตลาดได้อย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์พื้นฐาน อย่าง Rich Menu ที่เปรียบเสมือนหน้าบ้านของแบรนด์ ให้ลูกค้าเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ง่าย หรือ Card Message รูปแบบ Carousel ที่เหมาะกับการนำเสนอเมนูและโปรโมชั่น
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมีหลักๆ 4 รูปแบบด้วยกันไม่ว่าจะเป็น
การเชื่อมต่อ API (API Integration) – นี่คือหัวใจของการทำ Personalization ที่เปลี่ยน OA ให้เป็นเครื่องมือ CRM อัจฉริยะ โดยเชื่อมฐานข้อมูลลูกค้าของแบรนด์เข้ากับ UserID ของผู้ติดตามบน LINE ทำให้สามารถส่งข้อความที่รู้ใจได้แบบรายบุคคล เช่น โปรโมชั่นวันเกิด แบบที่แบรนด์อย่าง Sizzler และ Dairy Queen TH ทำ เป็นต้น
LINE Official Notification (LON) – เครื่องมือใหม่ที่น่าเชื่อถือในการส่งข้อความแจ้งเตือนสำคัญๆ (Notification) เช่น ยืนยันการชำระเงิน หรือแจ้งสถานะการจอง โดยส่งผ่านเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าได้โดยตรง แม้ว่าลูกค้าจะยังไม่ได้เป็นเพื่อนกับ OA ของเราก็ตาม ซึ่งในงานก็ได้มีการยกตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดเจนจากแบรนด์ เต่าบิน ที่ใช้ LON ในการส่งข้อความต้อนรับสมาชิกใหม่ (Welcome Code) หรือแจ้งเตือนเมื่อชำระเงินสำเร็จ (Payment Complete) เป็นต้น
Sponsored Sticker – เป็นเครื่องมือที่เรียกว่าเป็นแม่เหล็กดึงดูดเพื่อนใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากๆ โดยเฉพาะ Mission Sticker ที่ให้ลูกค้าทำภารกิจง่ายๆ (เช่น ตอบแบบสอบถาม) ก่อนดาวน์โหลด ซึ่งเป็นวิธีเก็บ First-Party Data ที่แยบยลและได้ผลดีมาก อย่างแคมเปญของ Lays ที่ทำร่วมกับ BT21 ก็สามารถเพิ่มยอดดาวน์โหลดได้ถึง 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเลยทีเดียว
การเก็บข้อมูล First-Party Data บน MyCustomer – ในยุคที่ Data คือขุมทรัพย์มูลค่าสูง LINE เองมีโซลูชันอย่าง MyCustomer ที่เป็นเหมือน CDP (Customer Data Platform) สำเร็จรูป ช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บ (Build) วิเคราะห์ (Analyze) และนำข้อมูลไปใช้สื่อสาร (Engage) ได้อย่างครบวงจร ซึ่งผลลัพธ์ก็น่าประทับใจ เพราะสามารถช่วยเพิ่ม “อัตราการเปิดอ่านข้อความ” หรือ Open Rate ให้กับแบรนด์ F&B ได้สูงสุดถึง 430% ด้วย
ถอดบทเรียน Bar B Q Plaza เบื้องหลังกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ
หนึ่งในไฮไลท์ของงาน LINE FOOD TECH 2025 ครั้งนี้ คือการเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของ Use Case “Gon Gang” จาก Bar B Q Plaza ซึ่งในเซสชัน Designing Beyond Experiences with Practical Solution คุณภมร ไตรวรรัตน์ CTO จาก BeTask และ คุณดาริน สุทธพงษ์ Co-founder & CEO จาก Hato Hub ได้มาเผยกลยุทธ์การผสานเครื่องมือของทั้งสองบริษัทเข้ากับ LINE OA เพื่อสร้าง Customer Journey ที่สมบูรณ์แบบ
ยกระดับประสบการณ์การจองคิว

คุณภมรเริ่มต้นอธิบายว่าในส่วนของ BeTask นั้นเข้ามาดูแลตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ Customer Journey นั่นคือ การจองคิว (Booking) โดยระบบถูกออกแบบมาให้ลูกค้าเริ่มต้นประสบการณ์ได้ง่ายที่สุดจากช่องทางที่คุ้นเคยอย่าง LINE OA ของ Gon Gang โดย ลูกค้าสามารถจองคิวล่วงหน้า หรือจองคิวสำหรับวันนั้นผ่าน Rich Menu ได้เลย ซึ่งความพิเศษคือระบบจะฉลาดพอที่จะแนะนำสาขาใกล้เคียงพร้อมแสดงจำนวนคิวแบบ Real-time ให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อนก็คือ “การแชร์คิวให้เพื่อน” ที่คนจองสามารถแชร์คิวให้เพื่อนในกลุ่มได้ทันที โดยมีจุดเด่นคือเพื่อนทุกคนที่กดรับแชร์ จะกลายเป็นเพื่อนกับ OA ของร้านโดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าที่ง่ายมากๆ และยังทำให้แบรนด์รู้ด้วยว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนกัน
สุดท้ายคือ “ระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ” ที่จะคอยส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงคิว ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลายืนรอหน้าร้าน สามารถไปเดินเล่นก่อนได้ เมื่อลูกค้าเช็คอินที่ร้านเสร็จเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่ประสบการณ์ระหว่างทานอาหารในส่วนที่ทาง Hato Hub ดูแลต่อไป
ยกระดับประสบการณ์สั่งอาหารและชำระเงิน

คุณดาริน รับช่วงต่อโดยอธิบายว่าพอมาถึงส่วนของ Hato Hub นั่นจะเน้นไปที่แนวคิด “รู้จัก รู้ใจ เอาใจ” มาสร้างประสบการณ์ต่อยอดตั้งแต่ตอน สั่งอาหารและชำระเงิน (Ordering & Payment) ไปจนถึง การสร้างความสัมพันธ์หลังจบมื้ออาหาร (Engage)
เริ่มต้นด้วย Personalized Experience ทันทีที่ลูกค้าสแกน QR Code ที่โต๊ะ ระบบจะทักทายด้วยชื่อของลูกค้าเองทันที ซึ่งจะทำให้ตัวลูกค้ารวมถึงร้านอาหารเองก็จะรู้ทันทีว่าลูกค้าคนนี้เป็นสมาชิกระดับไหน และมีสิทธิพิเศษอะไรที่ใช้ได้บ้าง จากนั้นก็ยกระดับไปอีกขั้นด้วย Social Dining ที่ทำให้ทุกคนในโต๊ะเห็นได้เลยว่าเพื่อนสั่งอะไรไปแล้ว และที่สนุกคือสามารถนำคูปองของแต่ละคนมารวมกันเพื่อใช้ส่วนลดที่คุ้มที่สุดได้ด้วย
พอถึงตอนจ่ายเงิน ก็ทำให้สะดวกที่สุดด้วย Seamless Checkout โดยลูกค้าสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองผ่านมือถือ ซึ่งระบบจะคำนวณส่วนลดสมาชิกและโปรโมชั่นบัตรเครดิตให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องวุ่นวายเรียกพนักงาน
แน่นอนว่า Journey ไม่ได้จบแค่นั้น คุณดาริน เล่าต่อว่า Hato Hub นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับสั่งอาหารในร้านแล้วยังเป็น Customer Engagement Platform ด้วยเมื่อลูกค้าทานอาหารเสร็จ ระบบจะส่งข้อความขอบคุณ พร้อมใบเสร็จและใบกำกับภาษีผ่าน LINE OA ทันที และยังเป็นโอกาสในการเก็บ Feedback หรือมอบคูปองสำหรับครั้งถัดไปเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาอีกครั้งได้ด้วย
คุณดารินยังได้สรุปผลลัพธ์จากความร่วมมือครั้งนี้ด้วยว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับ Bar B Q Plaza ที่ส่งผลกับธุรกิจได้จริงๆไม่ว่าจะเป็น
- อาหารที่เสิร์ฟเร็วขึ้นถึง 46%
- เวลาในการชำระเงินลดลง 87%
- Conversion Rate ของแบนเนอร์โปรโมชั่นที่เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
เคสนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การเชื่อมต่อ API ของพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญเข้ากับ LINE OA สามารถสร้างประสบการณ์ที่สะดวก รวดเร็ว และเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคนี้มองหาและยอมจ่ายเพื่อให้ได้ประสบการณ์เหล่านี้มานั่นเอง
โดยสรุปแล้วงาน LINE FOOD TECH 2025 ครั้งนี้ทำให้เรามองเห็นภาพอนาคตของอุตสาหกรรม F&B ที่ชัดเจนว่า การเติบโตอย่างยั่งยืนได้ไม่ได้สำคัญแค่รสชาติอาหารเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากการใช้ Data, Technology และ Creativity เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ด้วย
จากเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สู่เครื่องมือและโซลูชันที่ทรงพลังบน LINE Ecosystem และตัวอย่างความสำเร็จจากแบรนด์ระดับท้อปๆ ล้วนเป็นบทพิสูจน์ทำให้เราเห็นว่า LINE มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมที่จะแบ่งปันเทรนด์ อินไซต์ และพัฒนาโซลูชันเพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตในยุคนี้ได้อย่างแข็งแกร่งจริงๆ
#LINEFOODTECH2025 #LINEforBusiness
