“วันนี้จะกินอะไรดี???” คำถามคลาสสิคที่หลายคนก็มักจะไม่มีคำตอบตายตัว ซึ่งหลายคนก็มักจะเลือกทานอะไรที่มันง่ายๆ แต่อร่อยและต้องคุ้มค่า และก็มักจะจบลงที่สุกี้โดยเฉพาะสุกี้สไตล์บุฟเฟ่ต์ ซึ่งหากหลับตานึกก็คงจะมีอยู่แค่ไม่กี่แบรนด์ที่หลายคนมักจะนึกถึง แต่ในยุคนี้จนถึงช่วงที่ผ่านมาชื่อของ “ลัคกี้” เริ่มเป็นที่พูดถึงของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการมองหาทางเลือกนอกจากผู้เล่นรายหลัก
ย้อนรอยแนวคิดและเส้นทางของลัคกี้
ย้อนกลับไป 3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ลัคกี้เริ่มเข้าสู่ตลาดสุกี้บุฟเฟ่ต์ ในขณะที่ตลาดมีผู้เล่นรายหลักที่ชูจุดขายในการเป็นร้านสุกี้ที่ให้บริการยาวนานไปจนถึงหลังเที่ยงคืน ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืน ส่งผลให้แค่เริ่มเข้าสู่ตลาดลัคกี้ก็ต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากผู้เล่นรายหลักและผู้เล่นรายอื่นๆ ที่ต้องการให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางในการใช้เวลาทานข้าวของครอบครัวและคนรุ่นใหม่
ซึ่งทาง คุณวิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการบริหาร บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ผู้ให้บริการร้านสุกี้ลัคกี้และลัคกี้บาร์บีคิว เล่าถึงที่มาของการทำธุรกิจว่า ลัคกี้เกิดจากความชอบในการทานอาหารของผู้บริหาร 4 คนที่ไม่เคยอยู่ในตลาดอาหารมาก่อน โดยทั้ง 4 คนอยู่ในอุตสาหกรรมอื่น ทำให้เกิดแนวคิดที่ต้องการทำร้านอาหาร จากข้อมูลนั้นพบว่า แม้ตลาดสุกี้จะมีความท้าทายและความเสี่ยงสูง แต่ก็ยังมีโอกาสในการทำธุรกิจมาก
แต่เพราะความที่ไม่เคยอยู่ในธุรกิจอาหารมาก่อน ทำให้การทำธุรกิจไม่มีกรอบจำกัด และนำมาสู่การสร้างความแตกต่างโดยเป็นร้านที่นำเครื่องดื่มแบบสเลอปี้และของทอดให้ลูกค้าได้เลือกทานที่ถือเป็นรายแรกในตลาด คุณวิรัตน์ยังยอมรับว่า ถือเป็นความโชคดีที่การตัดสินใจเรื่องใหญ่แต่ละครั้งประสบความสำเร็จเหมือนชื่อของทางร้าน ที่สำคัญการตั้งชื่อร้านว่า “ลัคกี้” ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าการมากินที่ร้านจะได้รับโชคที่ดีกลับไป
3 ปีสู่รายได้เติบโตพันล้านบาท
และนั่นทำให้ในช่วงปีแรกของลัคกี้มีการเปิดสาขาเพียง 2 สาขาเท่านั้น โดยในปีแรกสามารถทำรายได้อยู่ที่ 79 ล้านบาท คิดเป็นกำไรอยู่ที่ 2.6 ล้านบาท ขณะที่ในปีต่อมามีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 4 สาขาเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และถือเป็นปีที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถสร้างรายได้ที่ 409 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตอยู่ที่ 413% และมีกำไรเพิ่มขึ้นมาเป็น 46 ล้านบาท
ขณะที่ในปีที่ผ่านมา ลัคกี้มีการขยายธุรกิจสู่ร้านอาหารประเภทบาร์บีคิวภายใต้ชื่อ “ลัคกี้ บาร์บีคิว” โดยมีการเปิดตัวถึง 5 สาขา พร้อมๆ กับการขยายสาขาของลัคกี้ สุกี้อีก 9 สาขา ด้วยจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาทโดยคิดเป็นอัตราเติบโตอยู่ที่ 148% ส่งผลให้ในปัจจุบัน ลัคกี้ สุกี้ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 15 สาขาและลัคกี้ บาร์บีคิวอีก 5 สาขา รวมทั้งสิ้น 20 สาขา
เมื่อวิเคราะห์จากอัตราการเติบโตของลัคกี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้การยอมรับในแบรนด์ลัคกี้ ที่สำคัญยังชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องของความคุ้มค่าในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์ ทำให้ในปี 2025 ลัคกี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2 พันล้านบาท และมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก 16-20 สาขา เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเพิ่มความสะดวกในการเข้าใช้บริการกับกลุ่มลูกค้าเก่า
ใส่ความจริงใจและความคุ้มค่า
อย่างที่บอกไปแล้วว่า แนวคิดการทำธุรกิจร้านอาหารของผู้บริหารทั้ง 4 ท่านใช้ประสบการณ์ของความเป็นผู้บริโภคเข้ามาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งผู้บริโภคต้องการความคุ้มค่าจากวัตถุดิบที่ทาน ในขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังในการได้รับบริการในแบบที่เรียกว่าคุ้มค่า แน่จริงทำให้มีการคัดสรรวัตถุดิบในระดับใกล้เคียงกับ Premium รวมถึงบริการที่เป็นกันเองภายใต้กลยุทธ์ “รักเธอไม่มีหมด”
โดยจะเน้น 3 ด้านที่มาจากประสบการณ์ของผู้บริหารในฐานะผู้บริโภคที่เน้นความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การทาน ที่ทางคุณวิรัตน์มองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะผู้บริโภคมีความคาดหวังในการมาใช้บริการ หากสามารถมอบสิ่งที่หวังได้สำเร็จ ผู้บริโภคจะเกิดความประทับใจและนำไปสู่การบอกต่อทั้งในรูปแบบ Word of Mouth หรือผ่านช่องทาง Social Media ซึ่งที่ผ่านมาช่องทางดังกล่าวช่วยสร้างกระแสให้กับลัคกี้
ขณะที่ความตั้งใจก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ เพราะอย่างที่คุณวิรัตน์กล่าวความผู้บริโภคมีความคาดหวัง ไม่ใช่แค่การให้บริการ แต่ยังรวมไปถึงการเลือกวัตถุดิบที่ดี ซึ่งผู้บริโภคเข้าใจดีว่าด้วยราคาเท่านี้อาจไม่ได้คุณภาพเท่ากับระดับลักชัวรี่ แต่ต้องดีกว่ามาตรฐานปกติทั่วไป นั่นทำให้ลัคกี้เลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาทั้งคัดสรรเมนูออกมาให้บริการกว่า 100 รายการและรูปแบบบริการใหม่ๆ
นอกจากนี้ คุณวิรัตน์ ยังมองแผนบุกตลาดในปี 2568 โดยเตรียมทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท ในการขยายสาขาเพื่อให้สอดรับกับการเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ โดยตั้งเป้าขยายอีก 16-20 สาขา เพื่อสอดรับกับแผนการขยายสาขารวมทั้งหมดแตะ 36-40 สาขาในปีนี้ โดยจะมีการขยายสาขาออกไปสู่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่มากขึ้น
จับตาอนาคตของลัคกี้ที่ต้องจับตา
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า ลัคกี้ชนกับคู่แข่งรายใดโดยตรง แน่นอนว่าคู่แข่งก็มีจุดแข็งที่ทำให้ยังคงเป็นแบรนด์หลักในตลาด แต่ด้วยกลยุทธ์และการเติบโตของลัคกี้กำลังจะเป็นบทพิสูจน์ที่ท้าทาย ด้วยการเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคที่อาจจะไม่ได้มองว่าแบรนด์คู่แข่งดีที่สุด แต่ผู้บริโภคกำลังมองหาทางเลือกอื่นๆ ซึ่งลัคกี้สามารถเข้ามาอยู่ในจุดนั้น
ซึ่งการแตกไลน์ธุรกิจไปสู่ตลาดปิ้งย่างอย่าง ลัคกี้ บาร์บีคิว เป็นการสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนบนความเหมือนกันที่ลงตัว โดยเฉพาะการเป็นบุปเฟ่ต์ นั่นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นไม่ต้องถูกบังคับให้ทานแต่รูปแบบเดียว ซึ่งทางคุณวิรัตน์มองว่าในอนาคตจะมีร้านที่ทั้งสุกี้และปิ้งย่างจะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน นั่นจะยิ่งทำให้ผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกสามารถตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น
แต่นั่นก็ทำให้ในอนาคต ลัคกี้จะต้องรับศึกหนักมากขึ้น เพราะแว่วว่าคู่แข่งตังตึงโดยตรงจะเพิ่มปิ้งย่างด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจขึ้นมา ขณะที่ตลาดปิ้งย่างเองอย่างมังกรเขียวอาจจะมองลัคกี้เป็นหนึ่งคู่แข่งที่เข้ามาสู่ตลาดปิ้งย่าง และอาจจะต้องมีการโต้กลับ ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้ลัคกี้ต้องเปิดศึก 2 ด้าน แต่นั่นก็ดูเหมือนจะอยู่ในสายตาของคุณวิรัตน์ ซึ่งเห็น Data ของธุรกิจมาโดยตลาดก่อนที่ตัดสินใจเข้ามาสู่ตลาดปิ้งย่างด้วย
เรียกว่าต้องจับตาธุรกิจสุกี้และปิ้งย่างที่คาดว่า ปีนี้น่าจะแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงฐานลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าที่พร้อมเปลี่ยนใจ หากต้องรอคิวนาน เมนูเดิมๆ ซ้ำๆ และพนักงานที่สื่อสารภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจ กับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อยากลองอะไรใหม่ๆ ทั้งที่เพื่อนแนะนำและเกิดกระแสบนโลกโซเชีบล พร้อมทั้งต้องการความหลากหลาย แบบที่จ่ายทีเดียวครบ จบ คุ้ม ไม่แน่เราอาจได้เห็นอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย