
เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนวงการสื่อบันเทิงโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กับการประกาศบรรลุข้อตกลงซื้อขายสินทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Netflix Inc. และ Warner Bros. Discovery (WBD) โดย Netflix ได้เข้าซื้อกิจการในส่วนของ สตูดิโอภาพยนตร์ Warner Bros. (WB) และบริการสตรีมมิ่ง HBO Max ที่มีมูลค่ากิจการรวมสูงถึงประมาณ 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.6 ล้านล้านบาท)
ดีลยักษ์ในครั้งนี้ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านขึ้น เพราะเข้าข่ายผูกขาดตลาด ซึ่งจะกระทบเจ้าใหญ่อื่นๆ ในตลาดสตรีมมิงอย่างแน่นอน ข้อมูลจาก Grand View Research เผยว่า มูลค่าตลาดสตรีมมิ่งทั่วโลกเติบโตราว 21.5% ต่อปี โดยทวีปอเมริกาเหนือ ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด (สัดส่วน 31.3%) ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุด
จุดเริ่มต้นดีลนี้มาจากไหน?
ก่อนหน้านี้ WBD ถูกยื่นข้อเสนอเข้าซื้อกิจการหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจาก Paramount Skydance Corp., Netflix หรือ Comcast ทำให้ WBD ตัดสินใจตั้งการประมูลขึ้นจนเกิดเป็นผู้แข่งขันสามฝ่าย คือ
– Paramount Skydance: เสนอซื้อ WBD ทั้งหมด (รวมถึงช่องเคเบิลอย่าง CNN และ TNT ด้วย)
– Netflix: เสนอซื้อเฉพาะส่วน สตูดิโอ ภาพยนตร์ ทีวี และสตรีมมิ่ง (Warner Bros. Studio and HBO Max) เท่านั้น
– Comcast: เสนอซื้อเฉพาะส่วนสตูดิโอ และสตรีมมิ่งเช่นกัน
สุดท้ายแล้ว Netflix ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลหลังจากเสนอราคาประมาณ 27.75 ดอลลาร์ต่อหุ้น (รวมมูลค่ากิจการทั้งหมดประมาณ 82,700 ล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในบรรดาคู่แข่ง โดยธุรกรรมนี้ประกอบด้วยเงินสดและหุ้น
ขั้นตอนต่อไปคือ WBD ได้เข้าสู่ การเจรจาแบบผูกขาด กับ Netflix เพื่อร่างข้อตกลงซื้อขายขั้นสุดท้าย ทั้งยังต้องยื่นต่อก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) ด้วย
ดีลนี้มีแนวโน้มเข้าข่าย ‘ผูกขาด’ และอาจถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐฯ ในสหรัฐฯ
การรวมกันของสื่อขนาดใหญ่ที่สุดสองแห่งอย่าง Netflix และ HBO ที่มีฐานสมาชิกเกิน 428 ล้านคน (Netflix 300 ล้านคน ณ สิ้นปี 2567 และ Warner Bros. Discovery 128 ล้านคน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568) อาจนำไปสู่การตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลท่ามกลางความกังวลเรื่องการผูกขาดตลาด ซึ่งจะลดการแข่งขัน และกระทบต่อผู้บริโภค
หากดีลนี้สำเร็จ ฐานสมาชิกของ Netflix หลังควบรวม HBO จะทิ้งห่างคู่แข่งในตลาดแบบขาดลอยทันที
– Amazon Prime Video อยู่ที่ราว 200 ล้านคน
– Disney Plus+ ประมาณ 131 ล้านคน
– Paramount+ ประมาณ 79.1 ล้านคน
– Hulu ประมาณ 64.1 ล้านคน
กระแสต่อต้านจึงเกิดขึ้นทั้งในฝั่งการเมืองที่มีสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐแคลิฟอร์เนียเขียนจดหมายถึงหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง หรือกระทั่งคู่แข่งอย่าง Paramount Skydance เองได้แสดงท่าทีกังวล พร้อมต่อต้านการผูกขาดเช่นกัน ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้เสนอซื้อทุกกิจการของ WBD ทั้งยังมีการเสนอราคาไปทั้งหมดสามครั้งด้วยกันตามรายงานของ CNBC
เมื่อดีลต้องเผชิญกระแสคัดค้าน Netflix จึงต้องเสนอ ค่าปรับราว 5,800 ล้านดอลลาร์ (184,590 ล้านบาท) หากดีลนี้ถูกหน่วยงานรัฐบาลบล็อก เพื่อแสดงความจริงจัง พร้อมประกันความเสี่ยงให้กับ WBD นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้ Netflix ได้เปรียบในเกมดีลครั้งนี้ แต่ Warner Bros. Discovery จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการยกเลิกข้อตกลงมูลค่า 2,800 ล้านดอลลาร์ (89,112 ล้านบาท) หากเป็นฝ่ายยกเลิกข้อตกลงเสียเอง
เหตุผลที่ตัดสินใจขาย?
ต้องเริ่มต้นก่อนว่า Warner Bros. Discovery (WBD) เดิมทีนั้นชื่อว่า Warner Media ซึ่งเคยอยู่ในเครือโทรคมนาคมอย่าง AT&T ก่อนจะแยกตัวออกมา และควบรวมเข้ากับ Discovery Inc. เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Warner Bros. Discovery (WBD) พร้อมด้วย David Zaslav ขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพลังไปสู้กับ Netflix และ Disney ทั้งยังเป็นการลดภาระหนี้สินของ AT&T ด้วย
แต่สุดท้าย WBD ยังคงเจอกับภาระหนี้ท่วมท้นอยู่ดี จึงเกิดเป็นดีลยักษ์นี้ขึ้น โดย WBD มีแผนจะแยกธุรกิจเครือข่ายเคเบิลทีวี (Discovery Global) ออกไปอยู่แล้ว (เช่น CNN, TNT, TBS) การขายส่วนของสตูดิโอ และสตรีมมิ่งจึงทำให้ WBD สามารถ มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจเครือข่ายทีวีที่เหลือ และแก้ไขปัญหาการลดลงของรายได้ในส่วนนั้นได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ การขายส่วนธุรกิจที่เผชิญกับการแข่งขันสูงในตลาดสตรีมมิ่ง (HBO Max) ออกไป ทำให้บริษัทที่เหลือ (Discovery Global) ไม่ต้องแบกรับภาระในการลงทุนในสงครามสตรีมมิ่งอีกต่อไป
ดีลนี้ Netflix ได้อะไรบ้าง?
– สตูดิโอภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Warner Bros. Pictures Group: New Line Cinema, Castle Rock Entertainment
– ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ Warner Bros. Television Group
– เครือ Home Box Office (HBO), Cinemax: ผู้สร้าง Game of Thrones, The Last of Us
– สตรีมมิ่ง HBO Max / Max
– ทรัพย์สินทางปัญญา (IP): DC Comics / DC Studios, จักรวาล DC (Superman, Batman, Wonder Woman), แฟรนไชส์ Harry Potter
– เกม และแอนิเมชัน Warner Bros. Games, Warner Bros. Animation, Looney Tunes
ส่วนที่แยกตัวออกไปในชื่อ Discovery Global ไม่ควบรวมกับ Netflix
– รายการข่าวข่าว: CNN Worldwide เช่น CNN (สหรัฐฯ), CNN International
– สารคดี/เรียลลิตี้: Discovery Channel, TLC, Animal Planet, Investigation Discovery (ID), Science Channel
– รายการไลฟ์สไตล์: HGTV, Food Network, Travel Channel, Cooking Channel, Magnolia Network
– รายการบันเทิงทั่วไป: TNT, TBS, Turner Classic Movies (TCM)
– รายการสำหรับเด็ก: Cartoon Network, Adult Swim, Boomerang
– ช่องกีฬา: TNT Sports (รวมถึงสิทธิ์ในกีฬาหลักของสหรัฐฯ), Eurosport
เท็ด ซารันดอส ซีอีโอร่วมของ Netflix เผยว่า เชื่อว่าหลายคนคงจะประหลาดใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะ Netflix ไม่เคยเป็นผู้ซื้อเลยในประวัติศาสตร์ พร้อมเผยตัวเลขว่าปัจจุบัน Netflix มีมูลค่าตลาดประมาณ 13.93 ล้านล้านบาท
“เรามีรายการ และภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว รวมถึงโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ดีลนี้นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก และจะช่วยให้เราสร้างความบันเทิงระดับโลก ไปพร้อมกับเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน”
ทั้งนี้ ทั้ง Netflix และ WBD ประเมินว่าการเข้าซื้อกิจการจะเสร็จสิ้นหลังการแยกเครือข่ายทีวีออกไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2569 โดยธุรกรรมจะเสร็จสิ้นภายใน 12 ถึง 18 เดือน
แน่นอนว่า ดีลยักษ์ในครั้งนี้กระทบคู่แข่งในตลาดสตรีมมิงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานสมาชิกที่ทิ้งห่างอย่างขาดลอย ไปจนถึงส่วนแบ่งในตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นบ้านเกิดของบริษัทสตรีมมิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, WBD, Disney+, Paramount+, Amazon Prime Video และ Hulu ซึ่งล้วนมีต้นกำเนิดในสหรัฐ
มูฟเมนต์ครั้งนี้จึงน่าจับตาดูว่า หากดีลนี้เกิดสำเร็จขึ้นมา แล้วเจ้าอื่นๆ ในตลาดจะงัดอะไรออกมาสู้เพื่อให้รักษาจุดยืนในตลาดไว้ได้ ทั้งนี้ สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์จากการแข่งขันนี้คือตัวผู้บริโภคนั่นเอง
