ส่งผ่านความเชื่อมั่นให้แก่เจ้าของสัตว์เลี้ยง: สถาบันวิทยาศาสตร์การดูแลสัตว์เลี้ยงวอลแธม ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

[ข่าวประชาสัมพันธ์]

ตลาดอาหารสัตว์ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ มีการเจริญเติบโตขึ้นมากกว่า 9% ใน 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยนั้นเรายังคงเห็นการขยายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่องและยังมีอาหารสัตว์หลากหลายสูตรออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เคยสงสัยกันไหมว่างานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะด้านโภชนาการอาหารสัตว์เลี้ยงนั้น มาจากที่ไหนเค้าคิดสูตรกันอย่างไร วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับสถาบันวิทยาศาสตร์การดูแลสัตว์เลี้ยงวอลแธม (Waltham Pet Care Science Institute) ในประเทศอังกฤษ

 

 

สถาบันวิทยาศาสตร์การดูแลสัตว์เลี้ยงวอลแธม ได้ก่อตั้งเมื่อปี 1973 ภายใต้ บริษัท มาร์ส เพ็ทแคร์ ตั้งอยู่ที่เลสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญในการก่อตั้งเพื่อการศึกษา ทำงานวิจัย เกี่ยวกับโภชนาการ ของสัตว์เลี้ยง ได้แก่ สุนัข แมว นก ปลา และม้า  กว่า 50 ปี โดยที่ผ่านมาสถาบันวิทยาศาสตร์การดูแลสัตว์เลี้ยงวอลแธมได้สร้างผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์เลี้ยงมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น งานวิจัยเกี่ยวกับปริมาณทอรีน (Taurine) แมวควรได้รับต่อวัน ซึ่งทอรีนเป็นกรดอมิโนที่แมวไม่สามารถผลิตได้ด้วยตัวเองแต่มีความจำเป็นต่อแมวเป็นอย่างยิ่ง และหากขาดสารดังกล่าวอาจส่งผลเสียแต่สุขภาพแมวโดยรวม และอาจมีความเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ อาทิ การเสื่อมของจอประสาทส่วนตา ลดการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโต และการทำงานของระบบสืบพันธุ์บกพร่อง[1] หรือ ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำในลูกสุนัข เป็นต้น โดยทั้ง 2 ผลงานวิจัยนี้ ถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงของสถาบันอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก ได้แก่ The Association of American Feed Control Officials (AAFO) ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ Nutrition Requirement for Dogs and Cats (NRC) ของประเทศอังกฤษ  ซึ่งใช้ในการอ้างอิงเพื่อการผลิตอาหาสัตว์เลี้ยงทั่วโลก นอกจากนั้นยังมีการศึกษาในเรื่องของสารอาหารที่จำเป็นสำหรับสุนัขที่ป่วยโรคหัวใจและสารอาหารที่มีผลต่อความแข็งแรงของผิวหรือความสวยงามของขน เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของมาร์ส คือ สร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับสัตว์เลี้ยง นักวิจัยที่วอลแธมจึงให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นการใช้วิทยาศาสตร์ในการคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่ไม่เพียงมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี แต่ยังคำนึงถึงคุณภาพ ความปลอดภัย และความชื่นชอบของสัตว์เลี้ยงอีกด้วย ทีมวิจัยของสถาบันให้ความสำคัญสูงสุดกับสวัสดิภาพของสัตว์เลี้ยง ในการศึกษาวิจัยจะเน้นกิจกรรมและการปฎิบัติที่ไม่ทำให้สุนัขและแมวเครียดหรือได้รับบาดเจ็บ สุนัขและแมวทุกตัวจะถูกฝึกมาอย่างดีโดยใช้ระบบของการให้รางวัล ซึ่งรางวัลก็จะแตกต่างกันไปขึ้นกับความชอบในสุนัขแต่ละตัว เช่น บางตัวชอบรางวัลเป็นอาหาร หรือ บางตัวชอบรางวัลเป็นการเล่น เป็นต้น

 

 

หนึ่งในเทคนิคการศึกษาวิจัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงที่ถูกพูดถึงในวงกว้างได้แก่เรื่อง คราบหินปูนในสุนัข โดยปกติแล้วการศึกษาช่องปากสุนัขอาจใช้เวลานานและต้องทำการวางยาสลบเพื่อไม่ให้สุนัขขยับเขยื้อน แต่สุนัขดังในภาพนี้ ถูกฝึก ให้นั่งได้เป็นระยะเวลานานโดยขยับตัวหรือริมฝีปากเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ทีมวิจัยถ่ายรูปฟันได้โดยไม่ต้องวางยาสลบซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพและความปลอดภัยของตัวสุนัขเอง

ปัจจุบัน Waltham Pet Nutrition Center ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Waltham Pet Care Science Institute เนื่องจาก มีงานวิจัยในขอบข่ายที่กว้างขึ้นกว่างานวิจัยทางโภชนาการสัตว์เลี้ยงอย่างเดียว มีงานศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ การศึกษาเรื่อง DNA genetics การใช้ข้อมูลและระบบปฏิบัติการแบบ AI มาวิเคราะห์หาความเสี่ยงของแมวกับการป่วยเป็นโรคไต และศึกษาเรื่อง ชีวนิเวศน์จุลชีพ (Microbiome) ซึ่งคือองค์ประกอบทั้งหมดของแบคทีเรียและสิ่งมี ชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่ปาก หลอดอาหาร ลำไส้เล็ก ไปถึงลำไส้ใหญ่ และ อยู่บนผิวหนัง เหงือก และฟัน ในสุนัขและแมวอีกด้วย

 

 

ผลิตภัณฑ์อาหารสุนัขและแมวจาก IAMS® (ไอแอมส์) ได้ถูกพัฒนาโดยนำผลวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการสัตว์เลี้ยงวอลแธม™ ประเทศอังกฤษ มาต่อยอดเพื่อตอบสนองความต้องการและปัญหาของสัตว์เลี้ยงที่แตกต่างกันในสัตว์เลี้ยงแต่ละพันธุ์และช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นการคำนึงถึงพลังงาน สุขภาพช่องปาก นอกจากนั้นยังเสริม Prebiotics ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และ Antioxidants เสริมสร้างภูมิต้านทาน เจ้าของอย่างพวกเราสามารถเลือกอาหารสัตว์เลี้ยงที่ตรงกับธรรมชาติของสัตว์เลี้ยง เพื่อให้สัตว์เลี้ยงได้มีสุขภาพที่ดี และมีความสุขในแบบที่เขาเป็น

 

[1] 2009. Waltham Pocket Book of Essential Nutrition for Cats and Dogs. 2nd ed. Waltham.

 

[ข่าวประชาสัมพันธ์]


  •  
  •  
  •  
  •  
  •