
เหลือเวลาไม่ถึงเดือนจะสิ้นสุดปี 2025 และก้าวเข้าสู่ปี 2026 ที่คาดว่าจะแบรนด์ยังคงต้องเจอการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่มาพร้อมรูปแบบใหม่รอบด้าน ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค, มีเดีย, คอมเมิร์ซ และเทคโนโลยี ดังนั้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับปีหน้า “MI GROUP” ได้ฉายภาพรวมเทรนด์การเปลี่ยนแปลง 2026 ไว้อย่างน่าสนใจ
ผู้บริโภคมองหา ‘ความคุ้มค่า – ความโปร่งใสที่พิสูจน์ได้ – ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน’
ปี 2026 พฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนอย่างชัดเจน โดยมี 3 แกนหลักที่แบรนด์ต้องเข้าใจ
1. ผู้บริโภคพร้อมจ่าย ถ้ารู้สึกคุ้ม และมั่นใจ (Value-first Behavior)
ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุก Generation มองหาความคุ้มค่า ที่ไม่ใช่ราคาอย่างเดียว ดังนั้นแบรนด์ที่จะชนะใจผู้บริโภคได้ ต้องหาว่าอะไรคือ Value ที่โดดเด่นของสินค้า/บริการของตนเอง และสื่อสารถึงความคุ้มค่าออกมาได้ชัดเจน เพราะผู้บริโภคพร้อมจ่าย เมื่อรู้สึกว่าสินค้า/บริการนั้นๆ คุ้มค่า และมีความมั่นใจในแบรนด์
2. Trust ไม่ใช่ภาพลักษณ์ แต่คือ Conversion Driver (Proof-Driven Decision-Making)
เดิมที Transparency ช่วยสร้าง Brand Trust ทำให้แบรนด์ดิ้งแข็งแรง ขณะที่ปัจจุบัน ความโปร่งใสที่พิสูจน์ได้ นอกจากสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคแล้ว ยังสามารถขับเคลื่อนไปถึง Conversion หรือยอดขายได้ด้วยเช่นกัน โดยผลวิจัยพบว่า
- 96% ของลูกค้าพร้อมกลับมาซื้อซ้ำ หากกระบวนการคืนสินค้ามีความชัดเจน
- 56% ของผู้บริโภคจะไม่ซื้อสินค้าทันที หากพบต้นทุนแอบแฝงตอนชำระเงิน
ดังนั้นความโปร่งใสในทุกด้าน คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อในทุกมิติ
3. ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน คือ พลังของการขายยุคใหม่ (Simplicity-Oriented)
ผู้บริโภคปัจจุบันถูก bombard ด้วยข้อมูลมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา เพราะฉะนั้นการดึง “Attention” (ความสนใจ) ของผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การขาย แบรนด์ต้องใช้ “ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และความชัดเจน” เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค เช่น นำเสนอความคุ้มค่าที่ชัดเจน, เข้าถึงช่องทางการขายได้ง่ายทุกช่องทาง, การสื่อสารที่ชัดเจน

สื่อเปลี่ยนบทบาทจาก ‘ช่องทางการสื่อสาร’ สู่ ‘การขับเคลื่อนยอดขายและการตัดสินใจอย่างเต็มรู้แบบ’
Media Landscape ของปี 2026 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน 3 ด้านคือ
1. Video is the Point of Sale: วิดีโอไม่ได้เป็นเพียงสื่อเพื่อความบันเทิง แต่เป็นจุดที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า
แบรนด์ต้องสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ตั้งแต่ 6 วินาทีแรก ไปจนถึงคอนเนทต์รูปแบบยาว (Long-form Content) ดังนั้นคอนเทนต์วิดีโอทุกความยาว ไม่ว่าจะเป็น Short-form หรือ Long-form เป็นองค์ประกอบเสริมกันที่ ขับเคลื่อนทั้งการตัดสินใจซื้อและยอดขาย
2. นักการตลาดต้องปรับจาก Social-First สู่ Total Video Strategy (Streaming Consolidation, new opportunity for marketers): ต่อไปแพลตฟอร์ม Streaming จะมีการแบ่งชัดเจนระหว่างโมเดล “จ่ายค่าสมาชิก เพื่อไม่ดูโฆษณา” และ “ดูฟรีแต่มีโฆษณา” ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์มใหญ่เริ่มมีการใช้ 2 โมเดลนี้แล้ว เช่น YouTube ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย มีทั้งดูฟรีมีโฆษณา และบริการ Premium จ่ายค่าสมาชิก ไม่มีโฆษณา นอกจากนี้ยังอีกหลายแพลตฟอร์มก็เริ่มใช้แล้วเช่นกันในต่างประเทศ และคาดว่าจะมาถึงไทยอย่างแน่นอน
การที่แพลตฟอร์ม Streaming มีโมเดล “ดูฟรี มีโฆษณา” เป็นโอกาสใหม่ของนักการตลาดในการวาง Media Strategy สื่อโฆษณาในช่องทาง Streaming ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินโฆษณาไหลเข้าแลพตฟอร์มเหล่านี้ที่มีกลุ่มผู้ชมที่แน่นอน
ดังนั้นโอกาสของนักการตลาด หรือแบรนด์ที่จะเข้าถึงผู้ชมผ่านการวาง Total Video Strategy โดยไม่จำกัดอยู่แค่โซเชียลมีเดีย แต่ต้องมองภาพรวมของทุกแพลตฟอร์มวิดีโอ
3. ผู้บริโภคถาม AI มากกว่าคลิกค้นหา – แบรนด์ต้องเป็นคำตอบที่ AI เลือกแนะนำ (From Search to AI-Synthesized Answers)
ปัจจุบันเทคโนโลยี AI สังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ก่อนประมวลผลออกมาเป็นคำตอบในโลกออนไลน์ เพราะฉะนั้นด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคเลือกจะถาม AI มากขึ้น จนเข้ามามีบทบาทเป็นด่านแรกของการค้นหาและการเลือกข้อมูล ดังนั้นแบรนด์ต้องวางกลยุทธ์ เพื่อให้ข้อมูลของแบรนด์ตนเองถูก AI เลือกนำไปเป็นคำตอบให้แก่ผู้บริโภค

ทุกแพลตฟอร์มกลายเป็น Commerce Platform
การค้าในยุคนี้ ไม่ได้แยกแต่ละแพลตฟอร์ม แต่เป็น Commerce Platform ที่เชื่อมระหว่าง Platform + Content + Creator/KOL ผสานเข้าด้วยกัน
1. Platform – Enabler commerce: ทุกแพลตฟอร์มคือจุดเริ่มต้นของการค้นพบและการซื้อ เช่น
- TikTok ที่เน้น Shoppertainment
- YouTube กระตุ้นการตัดสินใจผ่านวิดีโอ
- Meta ใช้ Generative AI ขับเคลื่อนประสิทธิภาพหลังบ้าน
- LINE มีเครื่องมือ MyShop ช่วยบริการจัดการร้านค้าออนไลน์ และปิดการขายได้แบบ One-on-one
2. Content – Trigger decision: คอนเทนต์ที่ดีเปลี่ยนการดู ให้กลายเป็นการตัดสินใจ
คอนเทนต์ในยุคใหม่ต้องทำหน้าที่มากกว่าการให้ข้อมูล แต่ต้องสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ทันที
3. Creator / KOL – Trust & Conversion Engine: ผู้บริโภคต้องการความเชื่อมั่นจากผู้ใช้จริง ดังนั้น Creator / KOL จึงมีบทบาทสำคัญในการรีวิวและอธิบายสินค้า เพื่อสร้างความไว้วางใจและปิดการขาย

ชนะใจผู้บริโภคด้วยการผสานระหว่าง AI x Brand x Human
แบรนด์สร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อ 3 ส่วนเข้าด้วยกัน คือ AI x Brand x Human เนื่องจาก AI คัดเลือกข้อมูลที่จะเสิร์ฟให้กับผู้บริโภค และเร่งให้การตัดสินใจเกิดเร็วขึ้น ขณะที่ประสบการณ์จริง และความเป็นมนุษย์ ยังเป็นหัวใจของความผูกพันระยะยาว
การตลาดในปี 2026 แบรนด์ต้องทำความเข้าใจ AI เพื่อให้ AI เรียนรู้และเลือกข้อมูลของแบรนด์ไปนำเสนอ เพราะโลกของ AI คือผู้คุมการมองเห็น หาก AI ไม่รู้จักแบรนด์ โอกาสในการถูกแนะนำก็จะหายไป
ขณะเดียวกันแบรนด์ก็ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ เพราะถึงแม้ AI จะคัดกรองข้อมูล แต่ “มนุษย์” คือผู้ตัดสินใจซื้อ แบรนด์จึงต้องสร้างความสัมพันธ์ (Engagement) และความเชื่อมั่นควบคู่กัน
ดังนั้นความได้เปรียบของแบรนด์ อยู่ที่การออกแบบ Journey ให้เข้าใจทั้ง AI และความเป็นมนุษย์ รวมทั้งเชื่อม Online Decision กับ Offline Connection เข้าด้วยกัน

3 บทสรุปการตลาด ปี 2026
ทิศทางของปี 2026 ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้เริ่มใช้ AI แต่จะเป็นปีที่ประเทศขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ ธุรกิจต้องเร่งปรับตัว
1. สร้างความแตกต่างเหนือราคา: ค้นหา Value ของแบรนด์ให้เจอ เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามา
2. ขยายศักยภาพด้วย AI: เชื่อมโยง Brand, Human และ AI เข้าด้วยกันในระบบนิเวศเดียว
3. สร้างสมดุลระหว่างบริหารจัดการทั้ง Performance และ Branding ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
คุณวรินทร์ ทินประภา, Chief Growth Officer, MI GROUP สรุปทิศทางการตลาดปี 2026 ว่า แบรนด์กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค สื่อ และเทคโนโลยี โดยนักการตลาดจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้ “ต้องวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบและสมดุล” มากกว่าเดิม
“แบรนด์ที่เติบโตในยุค AI ไม่ใช่แค่แบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคหรือแพลตฟอร์มได้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจทั้ง Commerce Ecosystem และเชื่อม Brand × Human × AI ให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ AI ขับเคลื่อนการตัดสินใจ มนุษย์สร้างความเชื่อใจ และแบรนด์ออกแบบประสบการณ์ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน”







