ช่วงนี้หลายคนคงเห็นกระแสดราม่า CapCut ที่คนออกมาเรียนร้องให้แบน CapCut เต็มฟีดไปหมด ด้วยความกังวลว่า CapCut จะฮุบสิทธิ์ในคลิปที่เราสร้างไปเป็นของตัวเอง แถมเอาไปขายได้โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ช้าก่อน มาดูกันว่าจริงๆ แล้วข้อกำหนดใหม่ของ CapCut มันน่ากลัวอย่างที่คิดจริงรึเปล่า
สิทธิ์ในคลิปเป็นของใครกันแน่?
ประเด็นหลักคือยังไง “เราจะยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ใน User Content ของเราอยู่” อ้างอิงจาก Terms of Service ของ CapCut ระบุชัดเจนว่า “คุณหรือเจ้าของ User Content ของคุณยังคงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ใน User Content ที่ส่งมาให้เรา” ดังนั้น CapCut ไม่ได้ “ขโมย” งานของเราไปเป็นกรรมสิทธิ์โดยตรง
แล้ว CapCut ขอสิทธิ์อะไรไปบ้าง?
ที่ต้องรู้อีกก็คือ แม้เราจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ใน Terms of Service ก็บอกไว้เหมือนกันว่าการใช้ CapCut เราได้ให้สิทธิ์อนุญาตแบบ “ไม่จำกัดเงื่อนไข ไม่สามารถเพิกถอนได้ ไม่ผูกขาด ไม่มีค่าลิขสิทธิ์ โอนถ่ายได้ทั้งหมด (รวมถึงการให้สิทธิ์ย่อยได้) ตลอดไป ทั่วโลก ในการใช้, ดัดแปลง, ทำซ้ำ, สร้างผลงานต่อยอด, แสดง, เผยแพร่, ส่ง, แจกจ่าย และ/หรือจัดเก็บ User Content ของคุณเพื่อให้บริการแก่คุณ”
อธิบายง่ายๆ คือ CapCut สามารถนำคลิปไปแก้ไข ดัดแปลง หรือแสดงผลในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น ปรับความละเอียด, ย่อขนาด, หรือใส่ฟิลเตอร์/เอฟเฟกต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วไป (อย่าง TikTok หรือ Instagram) ก็ทำกับเนื้อหาของเราเหมือนกัน พื่อให้แสดงผลได้เหมาะสมกับอุปกรณ์และแพลตฟอร์มต่างๆ
นอกจากนี้ CapCut และพาร์ทเนอร์สามารถนำคลิปของเราไปใช้ได้ในเชิงพาณิชย์ (รวมถึงการโปรโมท) โดยเราไม่ได้รับส่วนแบ่ง ซึ่ง Terms of Service ระบุว่า CapCut มีสิทธิ์ใช้ “ชื่อผู้ใช้ รูปภาพ และภาพลักษณ์ของคุณเพื่อระบุว่าเป็นแหล่งที่มาของ User Content ของคุณ รวมถึงการใช้ในเนื้อหาที่ได้รับการสนับสนุน (sponsored content)”
นั่นหมายความว่า หากคลิปเราปังจน CapCut อยากนำไปใช้โปรโมทแพลตฟอร์ม หรือพาร์ทเนอร์อยากนำไปใช้ในโฆษณา ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตหรือจ่ายเงินให้เรา
แล้วทำไม CapCut เพิ่งมาเปลี่ยนเงื่อนไข?
ในอดีต CapCut เน้นเป็นแอปตัดต่อออฟไลน์เป็นหลัก แต่ปัจจุบัน CapCut พัฒนาไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกับ Cloud มากขึ้น มีฟีเจอร์อัปโหลดคลิปและแก้ไขผ่าน Cloud ได้ซึ่งทำให้การทำงานใกล้เคียงกับ Social Media มากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น การปรับเงื่อนไขจึงเป็นการปรับให้สอดคล้องกับการใช้งานที่เปลี่ยนไป และเพื่อให้มีสิทธิ์ในการจัดการและแสดงผลคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มได้อย่างเต็มที่ซึ่งก็เหมือนกับที่ TikTok หรือ Instagram ทำนั่นเอง
ถ้าทำผิดลิขสิทธิ์เราก็ต้องรับผิดชอบ
อีกประเด็นสำคัญก็คือ หากเราใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ของคนอื่น (เช่น เพลง , โลโก้แบรนด์ปลอม) มาใช้ในคลิปและอัปโหลดผ่าน CapCut แล้วเกิดปัญหาการฟ้องร้อง Terms of Service ของ CapCut บอกไว้เลยว่า เราจะต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว CapCut จะไม่รับผิดชอบ และมีสิทธิ์เปิดเผยตัวตนของเราให้กับเจ้าของสิทธิได้
ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ใช้คอนเทนต์ละเมิดลิขสิทธิ์ของคนอื่นก็ไม่ต้องกังวลอะไรในเรื่องนี้
สิ่งที่ต้องกังวลและไม่ต้องกังวล
โดยสรุป หากเราใช้ CapCut เพื่อสร้างคอนเทนต์ลง Social Media เพราะแพลตฟอร์ม Social Media ส่วนใหญ่ก็มีเงื่อนไขการให้สิทธิ์การใช้งานเนื้อหาที่คล้ายกัน เพื่อให้ระบบสามารถประมวลผลและโปรโมทเนื้อหาได้ก็ไม่ต้องกังวลอะไร
แต่สิ่งที่ต้องกังวลก็คือหากเราใช้ CapCut สำหรับงานส่วนตัว หรือภายในองค์กรที่ไม่คิดจะอัปโหลดขึ้น Social Media เลย เช่น คลิปครอบครัว, คลิปฝึกอบรม การประชุมภายในบริษัทที่อาจมีความลับอยู่ หากเรากังวลว่า CapCut อาจมีสิทธิ์ในการเข้าถึงหรือใช้งานคอนเทนต์เหล่านี้ได้ ก็แนะนำว่าให้ไปใช้แอปตัดต่อวิดีโอแพลทฟอร์มอื่นก็จะทำให้สบายใจมากกว่านั่นเอง
สรุปแล้วเงื่อนไขใหม่ของ CapCut ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ถ้าเราใช้ CapCut เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok, Instagram, Facebook ก็แทบไม่ต้องกังวลเพราะนี่คือ “มาตรฐาน” ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ใช้กันอยู่แล้ว
แต่ถ้าเราเป็นกลุ่มที่ใช้ CapCut เพื่อตัดต่อคลิปส่วนตัวมากๆ หรือคลิปที่มีความลับทางธุรกิจ และไม่เคยคิดจะอัปโหลดขึ้นออนไลน์เลยก็ให้เลือกใช้โปรแกรมอื่นที่ไม่ได้มีข้อกำหนดที่กว้างแบบนี้ก็จะสบายใจมากกว่านั่นเอง
ที่มา CapCut Terms of Service, Mashable SE Asia, stmoro.com , www.isabokelaw.com