ในขณะที่ธุรกิจจำนวนมากเร่งปรับตัวเพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคหลังโควิด เทวกรรมโอสถกลับเลือกที่จะหันกลับไปหาต้นทาง คือการยืนหยัดบนรากฐานของภูมิปัญญาไทย พร้อมต่อยอดด้วยกลยุทธ์ “LIFE CONVERGENCE ทุกรอยปวดมีเรื่องราวให้ชีวิตไปต่อ” เพื่อรุกตลาด Pain Relief แบบครบวงจร และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระดับ 2 หลัก (Double Digit Growth)
จากแบรนด์เวชภัณฑ์ไทย สู่ Ecosystem สุขภาพยุคใหม่
ด้วยประวัติศาสตร์กว่า 80 ปี เทวกรรมโอสถไม่ได้เพียงแค่ยืนระยะ แต่ได้พัฒนาตัวเองจากผู้ผลิตเวชภัณฑ์แผนโบราณ มาเป็น “Pain Solution Provider” ที่สามารถตอบโจทย์ได้ตั้งแต่การป้องกัน ฟื้นฟู ไปจนถึงการดูแลระหว่างกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มอาการปวดเรื้อรัง ออฟฟิศซินโดรม และการฟื้นฟูจากการออกกำลังกาย
ในปี 2567 เทวกรรมโอสถส่งออกผลิตภัณฑ์กว่า 790 ล้านชิ้น และเติบโตมากกว่า 45% ส่วนหนึ่งเกิดจากการ Repositioning แบรนด์ให้เข้าใกล้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคผ่านกลยุทธ์ LIFE CONVERGENCE ที่ไม่เพียงเน้นผลิตภัณฑ์ แต่ยังเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิต ความเข้าใจพฤติกรรม และการออกแบบนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการแบบเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
“ปวด” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่แค่เรื่องร่างกาย
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกคาดว่า ภายในปี 2050 จะมีผู้ที่ประสบปัญหา Low Back Pain ทั่วโลกสูงถึง 843 ล้านราย ขณะที่ในประเทศไทย ปี 2567 เพียงปีเดียวมีผู้เข้ารับการรักษาอาการปวดจาก Office Syndrome สูงถึง 483,850 ราย
นี่ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือสัญญาณทางธุรกิจว่า “ความปวด” กำลังกลายเป็น Pain Point ที่ใหญ่มากของชีวิตคนเมือง เทวกรรมโอสถจึงนำแนวคิด LIFE CONVERGENCE มาสื่อสารว่า ความปวดในร่างกายและอารมณ์ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องได้รับการดูแลอย่างครบวงจร และไม่ควรถูกมองข้าม
การสื่อสารของแบรนด์ผ่านแคมเปญ และการเลือกพรีเซนเตอร์อย่าง “หนุ่ม-กรรชัย” ซึ่งเป็นตัวแทนคนรุ่นทำงานที่ต้องรับมือกับความเครียดและความปวดทั้งทางกายและใจ จึงสะท้อนจุดยืนใหม่ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
กลยุทธ์แบบ Multi-Brand & Multi-Solution
เทวกรรมโอสถไม่ได้วางตำแหน่งแค่ “น้ำมันมวย” แต่สร้างพอร์ตโฟลิโอที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพแบบหลากหลายมากขึ้นภายใต้ 3 แบรนด์หลัก
-
Neobun – ผู้เชี่ยวชาญด้าน Pain Relief สู่ Pain Mapping Solution
-
เปิดตัวพลาสเตอร์ยา Neobun แบบเฉพาะจุด เช่น Jumbo สำหรับคอ บ่า ไหล่ และ Back Pain สำหรับกลางหลัง
-
ใช้ตัวยา Methylsalicylate, Menthol, Capsaicin, Camphor ผสานกลิ่นหอมอ่อนๆ เพื่อเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลาย
-
-
น้ำมันมวย – จากแบรนด์สัญลักษณ์นักมวย สู่เครื่องมือดูแลกล้ามเนื้อทุกคน
-
ล่าสุดแตกไลน์ด้วย Muay Patch แผ่นเจลประคบเย็นแบบ Hydrogel สำหรับนักกีฬา และผู้ออกกำลังกายทั่วไป
-
ใช้น้ำมันเปปเปอร์มินต์และเมนทอล รองรับ Pain Relief ระหว่างหรือหลังการใช้งานกล้ามเนื้อ
-
-
Neoplast – จากพลาสเตอร์ยา สู่เครื่องมือดูแลแผลของครอบครัว
-
ขยายไลน์ไปยัง พลาสเตอร์ลายไดโนเสาร์สำหรับเด็ก ด้วยวัสดุปลอดภัย ปลอดเชื้อ และอ่อนโยนต่อผิวเด็ก
-
กลยุทธ์ที่ใช้จึงไม่ใช่แค่ “ขายสินค้า” แต่คือการ “ขยาย Solution” ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของแต่ละกลุ่มผู้ใช้ ตั้งแต่วัยทำงาน คนออกกำลังกาย ไปจนถึงกลุ่มครอบครัว
การเติบโตเชิงกลยุทธ์ ปักหมุดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากการเปิดเผยของผู้บริหาร เทวกรรมโอสถตั้งเป้าจะ “ขยายฐานผู้บริโภคทั้งในประเทศ และต่างประเทศ” โดยใช้แนวทาง “Quality Thai Brand to Global Health Market” หรือการนำแบรนด์คนไทยที่มีคุณภาพ สู่การเป็น Pain Solution ในตลาดสากล
สิ่งนี้สะท้อนว่า เทวกรรมโอสถกำลังเดินตามโมเดลเดียวกับแบรนด์สุขภาพระดับโลก เช่น Tiger Balm หรือ Salonpas ที่สร้างชื่อจากความเป็น Traditional Medicine ก่อนจะต่อยอดด้วยมาตรฐานการผลิตระดับสากลและขยายผ่านเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย
การมีพาร์ตเนอร์ในทุกช่องทาง (Multichannel Partnering) ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านขายยา หรือแม้แต่ช่องทางออนไลน์ ช่วยให้เทวกรรมโอสถสามารถกระจายสินค้าได้ในวงกว้าง และยึดหัวหาดในช่องทางที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ในยุคที่ตลาด Pain Relief มีทั้งผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศ และสตาร์ทอัปด้านสุขภาพ เทวกรรมโอสถกลับเลือกเล่นเกมด้วยจุดแข็งของตนเอง ความเข้าใจผู้ใช้ ความลึกของภูมิปัญญา และความสามารถในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน
การปรับภาพลักษณ์ การแตกไลน์ และการใช้แนวคิด LIFE CONVERGENCE ทำให้เทวกรรมโอสถกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตามอง ในฐานะแบรนด์ไทยที่สามารถ “แปลงความเก่าแก่ให้เป็นความทันสมัย” และใช้ความปวดเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชีวิตที่ดีขึ้น
