ในวันที่ชุดว่ายน้ำคือสินค้าฟังก์ชันที่แทบไม่มีแบรนด์ไหนพูดถึงความสนุกหรือความหมายเบื้องหลัง แต่ “มิญช์-ลีลานันทน์ รณเกียรติ” และ “อิสซี่-พลช ลิลิตธรรม” เลือกมองต่างเดินหน้า ‘ชุดว่ายน้ำ’ ให้เป็นทั้งแฟชัน และฟังก์ชัน แสดงออกถึงตัวตน และความสนุกในชีวิตประจำวัน กลายเป็น Movement ที่สร้างแรงบันดาลใจและสร้างตลาดใหม่ให้กับวงการแฟชั่นไทยในแบบที่ใครก็คาดไม่ถึง
Brand DNA “แฟชั่น x ฟังก์ชัน” ที่คิดถึงการใช้งานจริงของลูกค้า
ในช่วงแรก Aprilpoolday โฟกัสกลุ่มลูกค้าที่เป็น early adopter ซึ่งสนใจไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ กล้าเปิดใจลองของแปลก คนกลุ่มนี้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการทดลองและพัฒนาสินค้า เพราะทุกคอลเลกชันจะมี feedback จากลูกค้าจริงเป็นแรงผลักดัน
แนวคิดสำคัญที่กลายเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์คือ “Fashion x Function”แฟชั่นและฟังก์ชันต้องไปด้วยกัน “ซึ่งเป็นจุดต่างที่ทำให้ Aprilpoolday โตจากกลุ่ม niche ไปสู่ mainstream ได้อย่างมั่นคง
เพราะแบรนด์เลือก “ฟังเสียงลูกค้า” มากกว่าตลาดเสมอ คอลเลกชันใหม่ ๆ จึงมักเกิดจาก insight ของผู้ใช้จริง ไม่ใช่แค่ไอเดียจากห้องประชุม กลุ่มลูกค้าจากอายุ 20 ต้น ๆ ค่อย ๆ ขยายเป็นกลุ่ม 20-40 ปี และข้ามประเทศไปยังเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน

สินค้าดีอย่างเดียวไม่พอ ในโลกที่เสียงเบาไม่มีที่ยืน
ตลอดเส้นทางของ Aprilpoolday การให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและรายละเอียดในทุกขั้นตอนถือเป็นรากฐานสำคัญที่แบรนด์ยึดถือมาโดยตลอด เมื่อแบรนด์แฟชั่นจำนวนมากต่างผลิตสินค้าที่ดีในรูปแบบของตัวเอง เพียงแค่สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพจึงอาจยังไม่เพียงพอในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขัน
Aprilpoolday มองว่าการตะโกนบอกโลกถึงตัวตนและจุดยืนของแบรนด์เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กระบวนการพัฒนาสินค้า ทุกแนวคิด ทุกแรงบันดาลใจ และทุกความตั้งใจที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชุดว่ายน้ำแต่ละชุด ต้องถูกสื่อสารออกไปอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ คอมมิวนิตี้ที่แข็งแรง ไปจนถึงการนำเสนอคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลายช่องทาง
เพราะในโลกแฟชั่นที่ผู้คนมีตัวเลือกมากมาย แบรนด์ที่กล้าแสดงจุดยืนและป่าวประกาศความเชื่อของตัวเองอย่างชัดเจนเท่านั้นจึงจะถูกจดจำ ความกล้าส่งเสียงในแบบของ Aprilpoolday จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้แบรนด์เติบโต สร้างการรับรู้ และเปลี่ยนลูกค้าธรรมดาให้กลายเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อน Movement ไปพร้อมกัน

Zero-Budgeting โตได้จริง ไม่ต้อง “ซื้อเสียง”
หากมองผ่านเลนส์การตลาด Aprilpoolday คือกรณีศึกษาคลาสสิกของ Zero-Budgeting หรือ “การตลาดแบบไม่ใช้เงิน” แบรนด์ไม่ได้ลงทุนกับการยิงแอดหรือจ้าง influencer แบบสายแฟชั่นทั่วไป แต่ใช้ “Relationship Marketing” เป็นแกนหลัก ดึงเอาเพื่อนฝูงและ celebrity ที่ชื่นชอบในแบรนด์อยู่แล้วมาเป็น friend of brand เช่น เต้ย, ใหม่, ดาวิกา, คิมเบอร์ลี่, ฟ้า ฯลฯ ทำให้แบรนด์มีฐานเสียงคุณภาพสูงที่ขยายตัวแบบ organic
สิ่งที่คนในวงการอาจไม่เห็น แต่เป็นกลยุทธ์ล้ำลึก คือการลงทุนกับ “คน” แทนที่จะทุ่มกับ reach แคมเปญและกิจกรรมต่างๆ เช่น pop-up, exhibition 10 ปี, collab กับช่างภาพ/ศิลปินในและต่างประเทศ ช่วยสร้างกระแสโดยอาศัยพลังของ community และ UGC (user-generated content) ทำให้ชื่อแบรนด์แผ่กว้างผ่านประสบการณ์จริงของลูกค้า ไม่ใช่แค่โฆษณาที่ถูกผลิตขึ้น
เป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้าชัดเจน คือการยกระดับครีเอทีฟ พัฒนาคุณภาพสินค้าและขยายพื้นที่ประสบการณ์ให้มากขึ้น “อยากให้แบรนด์เป็นจุดหมายของคนที่รักแฟชั่นและไลฟ์สไตล์จริง ๆ ไม่ใช่แค่ร้านขายชุดว่ายน้ำ”
สูตรลับธุรกิจแฟชั่นแบบ Zero-Budgeting ฉบับ Aprilpoolday

Aprilpoolday ฝาก 3 สูตรลับสำหรับผู้ประกอบการหรือครีเอเตอร์ไทยที่อยากสร้างแบรนด์เองตั้งแต่ศูนย์
- เริ่มจากลูกค้าที่เชื่อในตัวเรา สร้างคอมมิวนิตี้จริงใจ และให้ความสำคัญกับ feedback
- โฟกัสคุณภาพสินค้า ให้ของที่ดีเป็นอาวุธแทนการตลาด (Zero Marketing but not Zero Value)
- อย่ากลัวที่จะทดลองหรือเปลี่ยนแปลง พื้นที่ของแบรนด์เล็ก ๆ คือเวทีให้เราตะโกนเสียงของตัวเอง ไม่ต้องรอใครให้โอกาส
Aprilpoolday จึงไม่ใช่แค่แบรนด์แฟชั่นหรือชุดว่ายน้ำธรรมดา แต่คือ Movement ที่สร้างด้วยหัวใจของคนรุ่นใหม่ที่กล้าทดลอง คิดต่าง และเชื่อมั่นในพลังของชุมชนกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธุรกิจที่โตแบบ zero-budget ไม่ใช่แค่ฝัน หากมีสินค้าที่ดี ประสบการณ์จริง และความจริงใจเป็นแกนหลัก
ท้ายที่สุด เส้นทางของ Aprilpoolday สะท้อนให้เห็นว่า “ความต่าง” ไม่ได้เริ่มจากเงินทุนก้อนใหญ่ หรือสูตรการตลาดสำเร็จรูป แต่เริ่มจาก passion เล็ก ๆ ที่กล้าฝันและลงมือทำจริง