สมรภูมิ Food Delivery เดือดอีกครั้ง หลัง 3 แบรนด์ใหญ่ลุยปรับกลยุทธ์ “GP” แย่งชิงพื้นที่ “คนละครึ่งพลัส”

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

  • Photo Credit: tete_escape / Shutterstock.com

แม้ตลาดแอปพลิเคชันสั่งอาหาร (Food Delivery) ในประเทศไทยจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการเติบโต หลังจากผ่านยุคที่ต้องใช้กลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งผู้เล่นแต่ละรายต้องแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอย่างเข้มข้น ทั้งการอัดฉีดโปรโมชันลดค่าอาหารหรือค่าจัดส่ง แต่ในปัจจุบัน สมรภูมิราคากลับถูกหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้ง โดยครั้งนี้ถูกทำให้กลายเป็น “สงคราม GP” (Gross Profit) หรือการแข่งขันด้านอัตราค่าธรรมเนียมที่แพลตฟอร์มเรียกเก็บจากร้านค้า

โดยเฉพาะปรากฏการณ์การกลับมาของโครงการรัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” ที่แม้จะมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในระดับผู้บริโภค แต่มันได้กลายมาสัญญาณการแข่งขันและทำให้ธุรกิจ Food Delivery ต้องปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Robinhood, Grab และ LINE MAN ใช้โอกาสนี้ในการเพื่อสัดส่วนการใช้งานและยึดครองส่วนแบ่งตลาดอีกครั้ง

 

Robinhood รุกหนัดลด GP เหลือ 0%

แม้ว่าการเคลื่อนไหวของ Robinhood จะมาหลังคู่แข่งทั้ง 2 ราย แต่ภายใต้การบริหารของ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด แต่กลับใช้กลยุทธ์ที่ “ท้าทาย” อย่างมากในตลาด ด้วยแนวคิดดั้งเดิมที่ไม่ได้มองว่าเป็นเพียงแอปฯ ส่งอาหาร แต่เป็น “แอปฯ ไทยเพื่อคนไทย” ยิ่งเมื่อรัฐบาลประกาศโครงการ “คนละครึ่งพลัส” Robinhood รีบขานรับด้วยมาตรการพิเศษ “GP 0% สำหรับร้านค้า 5,000 ร้านแรก” ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส

หากวิเคราะห์กลยุทธ์ดังกล่าวในเชิงลึก จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวไม่ได้สื่อสารแค่กับร้านค้าเท่านั้น แต่กำลังสื่อสารไปถึงผู้บริโภคที่จะได้ราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นที่แม้จะมีมาตรการรองรับโครงการคลนละครึ่งพลัส แต่ร้านค้าก็ยังคงต้องเสีย GP แม้จะเป็นอัตราพิเศษ ซึ่งร้านค้า 5,000 ร้านค้าแรกที่เข้าร่วมโครงการฯ และใช้ Robinhood จะไม่เสียค่าธรรมเนียม

นอกจากจะให้ร้านค้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ของ Robinhood ที่ต้องการเพิ่มยอดขายและสภาพคล่องแล้ว ผู้บริโภคยังสามารถใช้บริการจากร้านอาหารได้ถูกลง ยิ่งหากมีจำนวนร้านค้าในแอปฯ เพิ่มมากขึ้น จะยิ่งสร้างความน่าดึงดูดให้ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

5 มาตรการ หนุนกลยุทธ์ GP 0%

แม้ว่าโครงการคนละครึ่งพลัสจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่กลยุทธ์ที่ Robinhood วางไว้กลับวางเป้าหมายในระยะยาว เห็นได้จาก 5 มาตรการที่ออกมาสนับสนุนร้านค้าทั้ง 5,000 ร้านค้า พร้อมกับการประกาศ GP 0% เพื่อไปสู่เป้าหมายการสร้าง ecosystem ที่สมบูรณ์ ทั้ง

  • GP เหลือ 0%: เป็นเครื่องมือหลักในการ “ดึงดูด” (Acquisition) ร้านค้าใหม่ให้เข้าสู่ระบบ
  • โปรโมทร้านฟรี: เครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นยอดขาย (Activation)
  • ฟรีสื่อตกแต่งร้านค้า: ช่วยการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือการรับรู้แบรนด์ (Awareness)
  • ลดต้นทุนร้านค้า: เปลี่ยนบทบาทจาก “แพลตฟอร์ม” สู่ “พาร์ทเนอร์” ด้วยส่วนลดวัตถุดิบและอุปกรณ์จำเป็นจากพันธมิตร
  • สินเชื่อเพื่อธุรกิจ: ช่วยสนับสนุนร้านค้าที่ต้องการขยายกิจการและเพิ่มสภาพคล่อง

ไม่เพียงแต่ร้านค้าและผู้บริโภค Robinhood ยังให้ความสำคัญกับ ไรเดอร์ (Rider) ที่ถือเป็นกำลังสำคัญของระบบ ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวของ Robinhood จะช่วยสร้าง Win-Win-Win ecosystem ทั้ง 3 กลุ่มหลักอย่าง ผู้บริโภค, ร้านค้า และไรเดอร์ ภายใต้แนวคิด “ไทยช่วยไทย” ที่สำคัญยังช่วยสร้างฐานข้อมูล (Database) ขนาดมหาศาลของกลุ่ม SME ร้านอาหารและกลุ่มผู้บริโภค เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจในอนาคต

 

Grab สู้ศึกลด GP เหลือ 7% พร้อมสิทธิประโยชน์

ในขณะที่ Grab ก็เข้าสู่สมรภูมินี้ แต่อาจจะไม่ได้สู้กันที่ 0% แต่ Grab เลือกใช้กลยุทธ์ที่เน้นไปที่การรักษาฐานที่มั่นและการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ด้วยแคมเปญ GrabFood X คนละครึ่งพลัส ดันยอดโตสูงสุด 9 เด้ง” โดยหั่นค่า GP ลงเหลือ 7% สำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในวันแรก แต่จัดเต็มด้วยสิทธิประโยชน์ถึง 9 ต่อตลอดโครงการ เสริมด้วยโปรแกรมดันยอดขาย-ส่วนลดพิเศษจากแกร็บมูลค่าสูงสุด 10,000 บาท และสินเชื่อสำหรับร้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วยวงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท

Photo Credit: 2p2play / Shutterstock.com

จุดเด่นของแคมเปญฯ ที่ออกมาจาก Grab ที่สำคัญคือ 9 สิทธิประโยชน์ที่ออกมาเสริมให้ร้านค้าเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว ประกอบไปด้วย

  • หั่นค่า GP เหลือเพียง 7%: สำหรับร้านค้าที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในวันแรกที่เปิดรับสมัคร และสำหรับร้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป จะถูกคิดค่าคอมมิชชันในอัตรา 9%
  • สนับสนุนโปรแกรมดันยอดขาย: ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญ “แกร็บช่วยลด” โดยแจกโค้ดส่วนลดจัดเต็มให้ร้านค้าสูงสุด 10,000 บาท และแคมเปญ “ร้านเล็กค่าส่งถูก” ด้วยโปรโมชันส่งฟรีทุกออเดอร์ผ่านการจัดส่งแบบประหยัด (SAVER) ระยะทางสูงสุด 5 กม.
  • สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง: โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการฯ มีสิทธิ์ได้รับ “สินเชื่อเงินสดทันใจ” โดยมีวงเงินกู้สูงสุดถึง 1,000,000 บาท พร้อมรับดอกเบี้ยคืนสูงสุด 300 บาท
  • แจกส่วนลดพิเศษ: โดยให้ส่วนลดสูงสุดถึง 2,400 บาทต่อคน สำหรับใช้สั่งอาหารผ่านโครงการฯ
  • ลดค่า GP เหลือ 0%: เมื่อใช้บริการกินที่ร้าน (Grab Dine Out) สำหรับทุกร้านค้าใหม่เป็นระยะเวลา 30 วัน
  • แจกฟรีสื่อ ณ จุดขายและอุปกรณ์ตกแต่งร้าน: สำหรับ 10,000 ร้านแรกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ
  • โฆษณาผ่าน GrabAds: โดยมอบเครดิตการโฆษณามูลค่า 400 บาท สำหรับทุกร้านที่ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษบนแอป GrabMerchant
  • มอบส่วนลดพิเศษโดยเฉพาะ: สำหรับร้านค้าที่มีค่าบริการระบบจัดการร้านอาหารจาก SilomPOS ในอัตราครึ่งราคา ระยะเวลานาน 1 ปี มูลค่าสูงสุดถึง 14,950 บาท
  • จัดเต็มสื่อโฆษณาและกิจกรรมการตลาด: โดยเตรียมงบกว่า 200 ล้านบาทเพื่อร่วมโปรโมตแคมเปญผ่านสื่อโฆษณาครบวงจร พร้อมดึงทัพดาราดังร่วมสร้างสีสัน

จะเห็นได้ว่า Grab ไม่ได้กระโดดเข้าไปเล่นสงคราม GP 0% แบบเต็มตัว ซึ่ง Grab อาจมองว่านั้นไม่ใช้กลยุทธ์ที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจที่ผ่านพ้น “เกมเผาเงิน (Cash-burning)” ในสงคราม GP ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ แต่เลือกใช้ความได้เปรียบของ ecosystem ที่แข็งแกร่งและโมเดลสมาชิก เพื่อรักษาฐานลูกค้าและสร้างผลกำไรในระยะยาว

 

LINE MAN ขอแจมลดค่า GP อัตราพิเศษ

ถ้าขาด LINE MAN ไป ภาพรวมของตลาด Food Delivery ก็คงไม่สมบูรณ์ โดย LINE MAN ขานรับนโยบายคนละครึ่งพลัสอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ใหม่มากมาย พร้อมดึง “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ภายใต้แนวคิด “เบอร์ 1 คนละครึ่ง” โดย LINE MAN มองว่า โครงการคนละครึ่งพลัสจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค และยังกระจายรายได้สู่ร้านอาหารและไรเดอร์ทั่วประเทศ

ซึ่งสิทธิประโยน์สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ มีไฮไลท์สำคัญที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดต้นทุนและกระตุ้นยอดขาย ไม่ว่าจะเป็น

Photo Credit: T. Schneider / Shutterstock.com
  • การลดค่าธรรมเนียม GP เป็นกรณีพิเศษ: สำหรับออร์เดอร์ที่มาจากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ร้านค้าจะมีอัตราค่า GP พิเศษโดยเฉพาะ
  • มอบส่วนลดพิเศษ: พร้อมมอบส่วนลดร้านค้ามูลค่า 3,000 บาท เพื่อช่วยให้ร้านสามารถคิดโปรโมชั่นสำหรับร้านค้าเอง
  • ส่วนลดสำหรับโฆษณา: พร้อมมอบ Ads Credit มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท สำหรับร้านค้าเพื่อช่วยให้ลูกค้ามองเห็นร้านในแอปพลิเคชัน
  • ขยายระยะทางส่งฟรี: สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคด้วยการขยายระยะทางส่งฟรีเป็น 5 กิโลเมตร
  • เข้าถึงสื่อโฆษณา ณ จุดขาย (POSM): ร้านค้าจะได้สื่อประชาสัมพันธ์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ
  • ส่วนลดค่าบริการระบบจัดการร้านอาหาร (POS): สำหรับร้านค้าที่ใช้ระบบ POS ของ Wongnai รับส่วนลดสูงสุดถึง 8,000 บาท
  • พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมร้านค้า: โดย LINE MAN เตรียมจัดกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์ด้วยงบการตลาดกว่า 200 ล้านบาท

แม้ว่า LINE MAN จะไม่ได้ประกาศชัดเจนถึงตัวเลข GP ที่ลดให้ร้านค้า แต่การมีมาตรการลดค่า GP จะช่วยกระตุ้นให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการหันสนใจในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน ecosystem ผ่านสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งแคมเปญการตลาดและโปรโมชั่น ส่วนลดค่าอาหาร สิทธิส่งฟรี และคูปองส่วนลดเพิ่มเติม

 

สงคราม 3 ก๊กศึกแย่งชิงพื้นที่ Food Delivery

เมื่อมองภาพรวม จะเห็นการใช้กลยุทธ์ระยะสั้นล้อไปกับโครงการรัฐอย่าง “คนละครึ่งพลัส” แต่จริงๆ คือเป้าหมายในระยะยาวที่เป็นสงครามแย่งพื้นที่ในตลาด Food Delivery นั่นเพราะนี่คงไม่ใช่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสุดท้าย ซึ่ง สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่า โครงการฯ ดังกล่าวจะสามารถเพิ่มยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีมาตรการดังกล่าว

เพื่อให้เห็นภาพการแข่งขันที่ชัดเจนขึ้น Robinhood ดูจะเป็นรายเดียวที่พร้อม “เผาเงิน” (Cash-burning) ซึ่งต้องยอมรับว่า ในตลาด Food Delivery ชื่อของ Robinhood ยังเป็นรอง Grab และ LINE MAN ดังนั้นการเผาเงินจาก GP 0% ครั้งนี้ คือการมองเป้าหมายอนาคต โดยใช้โครงการฯ เป็นเครื่องมือและช่วงจังหวะในการเติบโตแบบก้าวกระโดด ปัญหาคือ Robinhood จะแบกรับต้นทุนได้นานเพียงใด

ทางด้าน Grab เอง ใช้วิธี Play Safe หลังผ่านยุค “เผาเงิน” จนกลายเป็นที่รู้จักและมีฐานลูกค้าทั้งผูบริโภค ร้านค้าและไรเดอร์ จำนวนหนึ่งแล้ว การจะกลับมาเผาเงินใหม่อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่ถ้าไม่ลด GP โอกาสที่ฐานลูกค้าจะสูญหายก็มี นั่นจึงทำให้ Grab เลือกที่จะลดค่า GP ลงมาเหลือ 7% ที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าแพงเกินไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเข้าสู่ภาวะ “เผาเงิน” ที่สำคัญยังไม่เป็นการทำลายโครงสร้างราคาที่วางไว้แล้ว

ขณะที่ LINE MAN เองก็น่าจะคิดคล้ายๆ กับ Grab ที่ไม่ใช่เรื่องต้องลงไปเล่น GP 0% ด้วยชื่อเสียงและบริการที่เป็นที่รู้จักและหลายคนเลือกใช้บริการอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลงไป “เผาเงิน” และเลือกที่จะไปเน้น “ความคุ้มค่า” มากกว่า ดังนั้น LINE MAN จึงเน้นไปที่สิทธิประโยชน์มากกว่า และถ้าลองเทียบกันดูจะเห็นว่า กลยุทธ์ของ Grab และ LINE MAN แทบจะคล้ายกัน นั่นคือเน้นรักษาตลาดโดยที่ไม่ทำลายโครงสร้างราคา

Photo Credit: 2p2play / Shutterstock.com

แน่นอนว่า เมื่อดูค่า GP แล้ว Robinhood น่าจะสามารถทำราคาได้ดีกว่า แต่ Grab และ LINE MAN ให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่า ช่วยให้เกิดโปรโมชันและสร้างความคุ้มค่าได้ไม่ต่างกัน การแข่งขันในสมรภูมิ Food Delivery ครั้งนี้จึงซับซ้อน ยิ่งนโยบาย “คนละครึ่งพลัส” ของภาครัฐออกมาเสริมในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บอกได้เลยว่าผู้ที่จะชนะในเกมนี้ คือ ผู้บริโภคีท่ได้ทั้งบริการที่ดีในราคาที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา