ทำไม Sale Training ส่วนใหญ่กลับทำให้ขายกันได้น้อยลง

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

โลกธุรกิจยุคนี้ “การขาย” กลายเป็นศาสตร์ที่สำคัญมาก หลายองค์กรยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อส่งพนักงานไปเข้าคอร์สฝึกอบรมที่คาดหวังว่าจะเปลี่ยนพนักงานให้กลายเป็น “ยอดนักขาย” ทว่าความจริงที่มักไม่มีใครพูดถึงคือ หลักสูตรเหล่านั้นจำนวนมากไม่ได้ทำให้เก่งขึ้นในการขาย แต่อาจกำลังทำให้ขายได้แย่ลงโดยไม่รู้ตัว

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝน แต่อยู่ที่สิ่งที่ฝึกฝนกันอยู่ต่างหาก เพราะหลักสูตรขายแบบดั้งเดิมมักเริ่มต้นจากสมมติฐานที่ผิดว่าการขายคือ “กระบวนการ” ที่ต้องมีสูตรสำเร็จ มีสคริปต์ มีขั้นตอน มีเทคนิคในการพูด ปิดการขาย หรือเอาชนะคำปฏิเสธของลูกค้า ทั้งที่แท้จริงแล้ว “การขาย” คือการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ไม่ใช่การแสดงบนเวที

 

 

ปัญหาแรกคือสิ่งที่เรียกว่า “Robot Effect” หลักสูตรขายจำนวนมากสอนให้พนักงานใช้บทพูดสำเร็จรูป เพื่อให้ทุกคนสื่อสารด้วยโทนเสียงและจังหวะที่เหมือนกันทุกประโยค ตั้งแต่การทักทายไปจนถึงการปิดการขาย ผลลัพธ์คือผู้ขายกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรที่พูดซ้ำ ๆ โดยปราศจากชีวิตชีวา ลูกค้ารับรู้ได้ทันทีว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่จริงใจ และสัญชาตญาณของมนุษย์ก็จะเริ่มปิดประตูตั้งแต่ยังไม่ทันจบประโยคแรก ทุกคนเคยรับโทรศัพท์จากนักขายที่อ่านสคริปต์จนขึ้นใจ เสียงไร้อารมณ์เหมือนเทป การขายแบบนี้ไม่เพียงสร้างความรำคาญ แต่ยังบั่นทอนศักยภาพของผู้ขายเอง เพราะแทนที่จะได้ฝึก “ฟัง” กลับเรียนรู้แค่ “ท่อง”

อีกปัญหาคือ “อัมพาตจากกระบวนการ” การฝึกขายแบบคลาสสิกมักบังคับให้พนักงานเดินตามกรอบทีละขั้นตอน เช่น การถามงบประมาณ การเช็กอำนาจตัดสินใจ หรือการระบุระยะเวลาปิดการขาย ระบบเหล่านี้ฟังดูมีเหตุผล แต่กลับทำให้ผู้ขายกลัวที่จะหลุดจากบท ผู้คนเริ่มจดจำขั้นตอนมากกว่าจดจำคนตรงหน้า พวกเขาหมดความยืดหยุ่นในการตอบสนองสถานการณ์จริง และสุดท้ายกลายเป็นเพียง “ผู้ปฏิบัติตามระบบ” ที่พูดอย่างเป็นทางการแต่ไร้ความหมาย

 

 

เมื่อพนักงานเริ่มทิ้งสคริปต์และลองพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ ความสัมพันธ์จึงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น เพราะแทนที่จะสนใจว่าจะ “ปิดดีล” ได้ไหม พวกเขากลับเริ่มสนใจว่า “คนตรงหน้า” ต้องการอะไรจริง ๆ บทสนทนากลายเป็นของจริง ไม่ใช่การสอบปากคำ การฟังมากขึ้นทำให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า และเมื่อเข้าใจ ลูกค้าก็เริ่มเปิดใจ ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของความไว้วางใจ เป็นสิ่งที่ไม่มีคอร์สขายใดสอนได้

หัวใจของการขายไม่ใช่การจัดการกับคำปฏิเสธหรือการปิดดีลอย่างมีชั้นเชิง แต่คือ “การแก้ปัญหาให้คน” หากเราขายโดยไม่เข้าใจปัญหาของเขา เราแค่พูดคนเดียว แม้จะใช้เทคนิคระดับโลก ก็ไม่มีทางสร้างยอดขายระยะยาวได้ เพราะลูกค้าไม่ได้ซื้อเพียงสินค้า เขาซื้อความเชื่อมั่นในคนที่ขาย

อุตสาหกรรมสอนขายในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงเน้น “ทักษะเชิงกลยุทธ์” มากกว่า “ทักษะเชิงมนุษย์” มีการสอนเทคนิคตอบโต้ การใช้จิตวิทยาแบบเร่งรัดเพื่อโน้มน้าว การฝึกพูดให้มั่นใจ แต่แทบไม่เคยมีคอร์สไหนสอนให้ “ฟังอย่างลึกซึ้ง” หรือ “เข้าใจอย่างจริงใจ” ทั้งที่สองอย่างนี้คือรากฐานของการขายที่ดี ในทางกลับกัน นักขายที่ประสบความสำเร็จที่สุดมักไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด แต่คือคนที่ “เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด” พวกเขาไม่พยายามแสดงบทบาทของนักขายมืออาชีพ ไม่ใช้คำพูดสวยหรูเกินจำเป็น แต่พูดจากความจริงใจและความเข้าใจ พวกเขาไม่ได้เริ่มบทสนทนาด้วยเป้าหมายว่าจะปิดการขาย แต่เริ่มจากความตั้งใจจะช่วยลูกค้าหาคำตอบ

 

 

เมื่อเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้ การขายก็จะกลายเป็นกระบวนการที่เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามบีบให้เกิดการซื้อ แต่ทำให้การซื้อเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองจากความไว้วางใจ แน่นอน การฝึกอบรมยังมีคุณค่า แต่ต้องเปลี่ยนจากการ “สอนเทคนิค” มาเป็นการ “สร้างความเข้าใจ” พนักงานควรได้รับการฝึกเกี่ยวกับสินค้า เพื่อพูดคุยได้อย่างมั่นใจ และควรเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้า เพื่อเข้าใจบริบทชีวิตของเขาอย่างแท้จริง การฝึกเรื่องจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคก็สำคัญ เพราะการขายที่ดีควรตั้งอยู่บนความจริง ไม่ใช่การชักจูง

ทักษะที่ควรถูกยกให้เป็นหัวใจของการขายคือ “การฟัง” การฟังที่ไม่ใช่เพื่อรอพูด แต่เพื่อเข้าใจ การฟังที่มองเห็นอารมณ์ ความลังเล และแรงจูงใจที่ซ่อนอยู่หลังคำพูด เพราะเมื่อเราฟังอย่างแท้จริง ลูกค้าจะรู้สึกว่าถูกเห็นและถูกเข้าใจ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความภักดีที่ยั่งยืน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ
CLOSE
CLOSE