รู้จัก Ledger Nano ตู้เซฟดิจิทัลที่นักลงทุนรู้จักดี แต่ไปโผล่ในคดีดัง สิ่งนี้คืออะไร อธิบายแบบเข้าใจง่าย

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ช่วงที่ผ่านมาในหน้าข่าวอาชญากรรมและการเงินในไทยเต็มไปด้วยคดีใหญ่ระดับประเทศทั้งกรณีการจับกุมดาราดังหรือมหากาพย์คดีธุรกิจออนไลน์ยักษ์ใหญ่ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่เรามักเห็นในภาพข่าวการจับกุมและการยึดทรัพย์คือ Ledger Nano วัตถุที่ดูเหมือน Flash Drive ที่ว่ากันว่าถูกใช้เป็นที่ซ่อนเงินมูลค่าหลักร้อยล้านเอาไว้ และไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนี้ก็เป็นโจทย์ยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วโลกด้วยเช่นกัน

บทความนี้ Marketing Oops! จะพาไปทำความรู้จักกับอุปกรณ์นี้ว่ามันคืออะไร? ทำไมในคดีอาชญากรรมทางการเงินยุคใหม่ถึงต้องมีของสิ่งนี้อยู่เสมอ? และในมุมของนักลงทุนหรือคนทำธุรกิจ มันคือเทคโนโลยีที่น่ากลัวหรือน่าใช้กันแน่?

Ledger Nano คืออะไร?

เครดิตภาพ Ledger.com

ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด Ledger (เลดเจอร์) คือ Hardware Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลในรูปแบบฮาร์ดแวร์ หรือจะเรียกว่าเป็น “ตู้เซฟดิจิทัล” ของคนวงการคริปโตฯก็ได้

ปกติแล้วเวลาเราเทรดคริปโตฯ หรือบิตคอยน์ เงินของเรามักจะฝากอยู่บนแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน (Exchange) หรืออยู่ในแอปพลิเคชันมือถือ เทียบง่ายๆก็เหมือนเราฝากเงินไว้ที่ธนาคาร หรือพกกระเป๋าสตางค์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (Hot Wallet) ซึ่งถึงจะสะดวกแต่ก็เสี่ยงต่อการถูกแฮกข้อมูลได้

แต่ Ledger ทำหน้าที่ต่างออกไป มันคือ Cold Wallet หรือกระเป๋าเย็น หลักการทำงานของมันคือ “การตัดขาดจากโลกอินเทอร์เน็ต” (Offline)

หน้าตาของ Ledger Nano เหมือน Flash Drive มีหน้าจอเล็กๆ และปุ่มกดโดยมันจะทำหน้าที่เก็บ Private Key (กุญแจส่วนตัว) ที่ใช้ยืนยันความเป็นเจ้าของเงิน ซึ่ง ข้อดีของมันก็คือเมื่อไม่ได้เสียบใช้งาน มันจะตัดขาดจากโลกออนไลน์ 100% แฮกเกอร์ไม่สามารถเจาะเข้ามาโอนเงินออกไปได้ถ้าไม่ได้สัมผัสตัวเครื่อง

ทำไม “คดีฉ้อโกง” ถึงใช้ Ledger?

ในคดีแชร์ลูกโซ่ใหญ่ๆหรือคดีฉ้อโกงระดับมหากาพย์หลายๆ คดีสาเหตุที่ผู้ต้องหานิยมโยกย้ายเงินจากเงินสด หรือเงินในบัญชีธนาคาร มาเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) และเก็บใส่ Ledger เพราะหลายเหตุผล

หนึ่งคือสามารถอำพรางเส้นทางการเงิน ได้เพราะคริปโตฯ สามารถโอนข้ามโลกได้ในวินาทีเดียว และสามารถผ่านตัวกลางหลายชั้น (Mixer) จนยากที่จะตรวจสอบต้นทางได้

อีกเรื่องคือสามารถพกพาและซ่อนง่าย เพราะเงินสด 100 ล้านบาท ต้องใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขนย้าย แต่เงิน 100 ล้านบาทในโลกคริปโตฯ สามารถพกพาได้ด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็กๆแค่ นิ้วโป้งชิ้นเดียว

และที่สำคัญก็คือมีรหัสผ่านที่ยากจะถอดออกได้ เพราะใช้คำถึง 24 คำ ล็อกเอาไว้ ถ้าไม่ยอมบอกก็ไม่สามารถดึงเงินออกมาใช้คืนให้คนถูกฉ้อโกงได้

24 คำ (Seed Phrase) ทำให้ยากที่จะเอาเงินคืน?

สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดก็คือ คิดว่าถ้าตำรวจยึดตัวเครื่อง Ledger มาได้ ก็เท่ากับยึดเงินได้แล้ว แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น

ระบบความปลอดภัยของ Ledger ถูกออกแบบมาให้ “เจ้าของเท่านั้น” ที่เข้าถึงได้ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Seed Phrase หรือ Recovery Phrase ซึ่งเป็นชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษจำนวน 24 คำ (เช่น witch, collapse, practice, feed, …)

ต่อให้ตำรวจมีตัวเครื่อง Ledger อยู่ในมือ แต่ถ้าไม่รู้รหัส PIN Code เพื่อปลดล็อกเครื่อง หรือผู้ต้องหาไม่ยอมบอก Seed Phrase ตัวเครื่องนั้นก็มีค่าเท่ากับก้อนหิน หรือ Flash Drive เปล่าๆ

ฟีเจอร์สำคัญของมันก็คือ ผู้ต้องหาสามารถซื้อ Ledger เครื่องใหม่ที่ไหนก็ได้ในโลก แล้วกรอก Seed Phrase ลงไป เงินทั้งหมดก็จะกลับมาอยู่ในมือทันที โดยไม่ต้องใช้เครื่องเก่าที่ตำรวจยึดไปเลยด้วยซ้ำ

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ในข่าวระบุว่า “โอกาสได้เงินคืนน้อยมาก” หากผู้ต้องหาปากแข็ง เพราะเทคโนโลยีนี้ถูกสร้างมาให้ เป็น Self-Custody คือ ไม่มีใครเข้าถึงได้ นอกจากเจ้าของตัวจริง ไม่เหมือนธนาคารที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถสั่งอายัดบัญชีได้ทันที

ทุกเครื่องมือมีทั้งคือดาบสองคม

แม้ในข่าว Ledger จะดูเป็นอุปกรณ์ของตัวร้าย แต่ในโลกความเป็นจริง สำหรับนักลงทุน นักธุรกิจ หรือองค์กรที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล Ledger คือมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด

ในยุคที่ข้อมูลมีค่าดั่งทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจมากขึ้น การเรียนรู้เรื่อง Self-Custody ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญเช่นกัน

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจอีกอย่างก็คือเทคโนโลยีทุกอย่างคือ “ดาบสองคม” ถ้า Ledger อยู่ในมือคนดี มันก็คือเครื่องมือปกป้องทรัพย์สินจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ แต่ในคนไม่ดี มันคือเครื่องมือฟอกเงินดีๆนี่เอง

ดังนั้นการเข้าใจว่าเส้นทางการเงินดิจิทัลทำงานอย่างไร จะช่วยให้เรารู้เท่าทันกลโกง ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลงทุน และเข้าใจความเสี่ยงของการฝากทรัพย์สินไว้กับคนอื่นได้มากขึ้นเช่นกัน

ที่มา Ledger, Bitkub, Finnomena


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE