
ย้อนกลับไปในอดีตหลายสิบปีก่อน “ร้านอาหารญี่ปุ่น” มีภาพลักษณ์ความพรีเมียม ราคาสูง และยังไม่ได้แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ แต่ปัจจุบัน Landscape ของตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยกลายเป็นหนึ่งใน category หลักของธุรกิจร้านอาหารในไทยมูลค่ากว่า 562,000 ล้านบาท และมีตั้งแต่ระดับ Fine Dining ไปจนถึง Mass Market หนึ่งในนั้นคือ ตลาดร้านซูชิ ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด! ทั้งจากเชนยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นทยอยเข้ามาแย่งชิงตลาด และ Local Player ที่มีทั้งผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง จนถึงรายย่อย
ท่ามกลางการแข่งขันร้อนแรง ถ้าเอ่ยชื่อแบรนด์ร้านซูชิในราคาเข้าถึงง่าย เชื่อว่าหลายคนนึกถึง “ไข่หวานบ้านซูชิ” ที่มีสาขากระจายอยู่ตามชุมชน, ย่านที่พักอาศัย, ใกล้สถานศึกษา, สถานีบริการน้ำมัน ทั้งในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ ด้วยโมเดลธุรกิจเป็น “แฟรนไชส์” และวางตำแหน่งแบรนด์เลือกเจาะ Mass Market ด้วยการนำเสนอ “ราคาคุ้มค่า” อยู่ที่ 10 – 45 บาท จนสามารถขยายการเติบโต กลายเป็นแบรนด์ร้านซูชิของคนไทยที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ ด้วยจำนวนกว่า 200 สาขา
Marketing Oops! ได้พูดคุยกับ คุณสุรพงศ์ สุทธิกุญชร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไข่หวานบ้านซูชิ (ประเทศไทย) จํากัด ได้เล่าถึงเส้นทาง และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ทำให้ไข่หวานบ้านซูชิ สามารถขยายแฟรนไชส์ได้ 270 สาขาในปัจจุบัน รวมทั้งโรดแมปธุรกิจภายใน 5 ปีจากนี้ ที่วางเป้าหมายไม่จำกัดอยู่แค่ธุรกิจร้านซูชิเท่านั้น แต่ต้องการปักธงเป็น Food Service ผู้ผลิตและจัดส่งวัตถุดิบอาหาร เพื่อต่อไปจะมีฐานลูกค้าทั้งกลุ่ม B2C และ B2B

เส้นทางกว่าจะมาเป็น “ไข่หวานบ้านซูชิ” แฟรนไชส์ร้านซูชิที่มีสาขามากกว่า 270 แห่ง
ไข่หวานบ้านซูชิ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2558 เริ่มจากเป็นธุรกิจครอบครัวที่ผู้ก่อตั้งเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่น มองเห็น “ช่องว่างตลาด” ในเวลานั้นที่อาหารญี่ปุ่นยังเข้าถึงยาก จึงเลือกเป็น “ร้านซูชิ” ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพ ขายในราคาจับต้องได้ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสรับประทานเมนูซูชิได้ง่ายขึ้น
หลังจากเปิดร้านมาได้ 1-2 ปี มีผู้สนใจอยากซื้อแฟรนไชส์ ทางผู้ก่อตั้งจึงได้เริ่มขายแฟรนไชส์ตั้งแต่นั้นมา ต่อมาธุรกิจได้เปลี่ยนมือไปสู่ผู้ถือหุ้นใหม่ โดยในช่วงปี 2560-2561 ได้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญทางธุรกิจ เมื่อกิจการได้จดทะเบียนในรูปแบบบริษัท ภายใต้ชื่อ “บริษัท ไข่หวานบ้านซูชิ (ประเทศไทย) จำกัด” พร้อมทั้งวางระบบแฟรนไชส์อย่างจริงจัง ทำให้ธุรกิจไข่หวานบ้านซูชิ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภายใน 1-2 ปีนับตั้งแต่จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท มีสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 100 แห่ง กระจายทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา เป็นปีที่ไข่หวานบ้านซูชิ กลับมาวางมาตรฐานด้านต่างๆ ให้ชัดเจนและเข้มข้นขึ้น เพื่อเป็นข้อกำหนดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ (Franchisee) หรือลูกแฟรนไชส์ปฏิบัติตาม

“พอถึงจุดหนึ่ง เรามองว่าการเติบโตอย่างมั่นคงต้องมีมาตรฐานที่แข็งแรง เช่น มาตรฐาน SOP (Standard Operating Procedure) ซึ่งในปีที่ผ่านมา ถ้าดูในเชิงตัวเลขการขยายแฟรนไชส์หายไปเยอะพอสมควร เพราะเรากลับมาทำมาตรฐานหลายๆ อย่างมั่นคงก่อน
เนื่องจากเราพบ pain point ของลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้านไข่หวานบ้านซูชิว่ามาตรฐานสินค้าไม่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ในสัญญาแฟรนไชส์ระบุว่าเราแนะนำ Supplier วัตถุดิบให้ แต่ปีที่แล้ว เราเริ่มแจ้งกับทาง franchisee ว่าถ้าเป็นวัตถุดิบหลักที่ส่งผลต่อรสชาติ ต้องมาจากทางบริษัทไข่หวานบ้านซูชิ และซื้อจาก Supplier ที่บริษัทฯ คัดสรรไว้แล้วเท่านั้น
โดยเราเริ่มผลิตสินค้าบางประเภทที่ทำได้ เช่น ข้าวซูชิ ใช้เครื่องปั้นข้าว เพื่อให้ปริมาณข้าว 1 คำมีขนาดเท่ากัน, ไข่หวาน รวมทั้งติดต่อ Supplier ด้านวัตถุดิบ เช่น ปลาแซลมอน, ปลาไหล ซึ่งจะสไลด์ให้เลย ทางร้านไม่ต้องนำไปสไลด์เอง จากนั้นวัตถุดิบที่จัดเตรียมไว้ จะถูกส่งไปที่สาขาต่างๆ ทางสาขานำไปประกอบอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันเรายังไม่สามารถใช้มาตรฐานนี้ได้กับทุกสาขา เนื่องจากสัญญากว่า 200 สาขา ยังไม่ได้ถือฉบับเดียวกัน แต่เรากำลังเปลี่ยน ภายในปีนี้ ถึงปี 2026 ทุกสาขาแฟรนไชส์จะถือสัญญาเดียวกัน ดังนั้นปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เรากำหนดมาตรฐานหลายๆ อย่าง เพราะเราเชื่อว่าพื้นฐานที่แข็งแรง คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้แบรนด์เติบโตต่อไป” คุณสุรพงศ์ เล่าถึงการกลับมาวางระบบหลังบ้านให้แข็งแรงขึ้น

สรุป 6 กลยุทธ์ “ไข่หวานบ้านซูชิ” สู่อาณาจักรร้านซูชิที่สตรองในตลาด Mass
ถึงวันนี้ ไข่หวานบ้านซูชิ มี 270 สาขา แบ่งเป็น 2 โมเดลหลักคือ รูปแบบอาคารพาณิชย์ ระยะเวลาคืนทุนภายใน 2 ปี และ Stand Alone ระยะเวลาคืนทุนภายใน 3 ปี โดยมีทั้งบริการ Dine-in และ Takeaway
เมื่อเจาะลึกกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจไข่หวานบ้านซูชิ ให้กลายเป็นร้านซูชิ ที่มีฐานแข็งแรงในตลาด Mass และมี Network สาขาครอบคลุม ประกอบด้วย
1. โมเดลแฟรนไชส์ขยายสาขา
ด้วยการขยายสาขาใช้รูปแบบแฟรนไชส์ เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไข่หวานบ้านซูชิ สามารถขยาย Network สาขาได้อย่างรวดเร็ว และกระจายครอบคลุมในทำเลต่างๆ โดยทุกแฟรนไชส์จะได้รับการสนับสนุนอย่างครบวงจร ทั้งการอบรม การบริหารร้าน การตลาด การจัดการวัตถุดิบ
คุณสุรพงศ์ อธิบายถึงหลักเกณฑ์การเลือกเปิดสาขาว่า พิจารณาความหนาแน่นของประชากรในชุมชน หรือย่านนั้นๆ ควบคู่กับการดูความสามารถในการจับจ่าย และ database ที่บริษัทมี นำมาวิเคราะห์ เพื่อขยายสาขาเข้าไปยังโลเคชันต่างๆ ที่มีศักยภาพ
“ตอนเปิดร้านช่วงอาทิตย์แรก หรือเดือนแรก เราส่งทีม Audit, ทีม Training เข้าไปอยู่ด้วย เพื่อดู Data ว่าสินค้าไหนขายดี รวมทั้งข้อมูลจากเครื่อง POS ที่ทำให้ร้านแฟรนไชส์แต่ละสาขาเห็นว่าเมนูไหนขายดี โดยเราจะให้คำแนะนำเป็นรายสาขา ทั้งเมนู ระบบบริหารจัดการ และมี Local marketing สนับสนุนด้วยเช่นกัน”

2. แนวคิด “Less Revenue, High Profit”
แนวคิดการดำเนินธุรกิจของไข่หวานบ้านซูชิ เน้นการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อให้สามารถขายซูชิในราคาเริ่มต้น 10 บาท จนถึง 45 บาท และยังคงสามารถสร้าง “กำไร” ให้กับทั้งนักลงทุน franchisee และบริษัทฯ
“เป้าหลักที่เราตั้งไว้ คือ ต้องการให้คนไทยได้สินค้าที่มีคุณภาพ ราคาย่อมเยา เราจึงมีแนวคิด “Less Revenue, High Profit” แม้เราจะมี Revenue น้อยลง แต่เราบริหารจัดการต้นทุน เพื่อโฟกัสบรรทัดสุดท้าย นั่นคือ การทำให้กำไรเพิ่มขึ้น
เพราะเมื่อไรก็ตามที่เรามี Revenue มากๆ และบริหารจัดการต้นทุนดีๆ ก็มีโอกาสทำกำไรสูง เป็นเรื่องปกติ แต่พอเจอวิกฤต เช่น สถาวะเศรษฐกิจโดยรวม, การเมือง, สงคราม ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย ถ้าโฟกัสของธุรกิจมองที่ Revenue เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยอดขายเพิ่ม ซึ่งอาจไม่ได้สะท้อนบรรทัดสุดท้าย ดังนั้นการมี High Revenue เป็นตัวที่ดี แต่จะดีกว่าถ้ามี High Profit เราจึงโฟกัสที่บรรทัดสุดท้าย”
จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ในปี 2024 บริษัท ไข่หวานบ้านซูชิ (ประเทศไทย) ไม่สามารถทำกำไรได้ เป็นผลมาจากลดการขยายแฟรนไชส์ เนื่องจากต้องการกลับมาทำระบบหลังบ้านให้แข็งแรง ทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มขึ้น
โดย คุณสุรพงศ์ อธิบายเพิ่มเติมถึงแนวโน้มบริษัทฯ ปี 2025 ในภาพรวมติดลบลดลง Margin สูงขึ้น รายได้คงที่ และบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้อย่างมั่นคง และตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ผลประกอบการจะกลับมาเป็นบวก

3. การบริหารจัดการ Product Mix
หนึ่งในตัวอย่างของการบริหารจัดการต้นทุน คือ การบริหาร Product Mix เมนูที่ขายในร้านไข่หวานบ้านซูชิใช้หลักการเฉลี่ยกำไร นั่นคือ มีเมนูซูชิราคา 10 บาทต่อชิ้น ซึ่งเป็นเมนูราคาย่อมเยาที่สุดของร้าน เพื่อดึงคนให้เข้ามาใช้บริการ ผสมผสานกับเมนูที่สามารถสร้าง Margin สูง เพื่อให้ภาพรวมการขายยังคงสามารถทำกำไรที่น่าพอใจให้กับ franchisee
คุณสุรพงศ์ ยกตัวอย่างว่าก่อนหน้านี้มีเมนูหนึ่งที่ลูกค้าชื่นชอบมาก และขายดี แต่เป็นเมนูที่ต้นทุนสูงมาก จึงมีความจำเป็นต้องเอาเมนูนั้นออก แล้วปรับเป็น Seasonal menu ขายเป็นช่วงๆ

4. ความหลากหลายของซูชิกว่า 70 เมนู ในราคาคุ้มค่า
ปัจจุบันไข่หวานบ้านซูชิมี “ครัวกลาง” 1 แห่งที่สาขาเลียบด่วน-รามอินทรา ขณะที่ “เมนู” ที่จำหน่ายในปัจจุบัน แบ่งเป็น
- เมนูที่พัฒนาโดยไข่หวานบ้านซูชิ และกำหนดให้ร้านวางจำหน่าย โดยรวมทั้งหมด 90 เมนู ได้แก่ กลุ่มซูชิกว่า 70 เมนู และอีก 20 เมนู เป็นอาหารญี่ปุ่นประเภทอื่น เช่น ราเมง, โซบะ
- เมนูยืดหยุ่น หรือ Flexible menu บริษัทฯ เปิดร้านแฟรนไชส์มีอิสระในการพัฒนาเมนูของร้านตัวเอง แต่รายการนั้นๆ ยังคงต้องเชื่อมโยงกับความเป็นอาหารญี่ปุ่น และสอดคล้องกับแบรนด์ไข่หวานบ้านซูชิ

5. การตลาด “บอกต่อ”
หากสังเกตแบรนด์ไข่หวานบ้านซูชิ ไม่ได้มีการทำการตลาดที่หวือหวา เมื่อเทียบกับหลายแบรนด์ในธุรกิจร้านอาหารที่แข่งขันกันดุเดือด ทั้งบนโซเชียลมีเดีย, รีวิวจาก Influencers นั่นเพราะไข่หวานบ้านซูชิ เน้นใช้การตลาดแบบ “บอกต่อ” จากลูกค้าสู่ลูกค้าเป็นหลัก
“เราอาจจะ Old school หน่อยๆ อาจไม่ได้อยู่บนหน้าสื่อมากนัก หรือตามกระแสมากนัก เพราะอยากให้ลูกค้าที่มาทานแล้วบอกต่อ และจะทำให้การกลับมาใช้บริการซ้ำ นั่นหมายความว่าต้นทุนด้าน Marketing เป็นอีกต้นทุนหนึ่งที่เราค่อนข้างคุมพอสมควร เพื่อเอาเงินส่วนนั้น มาดูแลลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเรา เพื่อให้สะท้อนสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกฝ่าย”
6. ความแข็งแกร่งด้านพาร์ทเนอร์
อีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไข่หวานบ้านซูชิ เดินทางมาถึงวันนี้ได้ มาจากการมี “พาร์ทเนอร์” ที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทเนอร์แฟรนไชส์, Landlord, Supplier ด้านวัตถุดิบ
“เราทำงานกับพาร์ทเนอร์ส่วนต่างๆ มาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี เป็นความสัมพันธ์ที่สะท้อนได้ว่าแม้ตลาดร้านซูชิดุเดือดพอสมควร แต่ไข่หวานบ้านซูชิ แสดงให้เห็นแล้วว่าเราไม่ได้มาเล่นๆ ดังนั้นพาร์ทเนอร์ที่เรายังจับมือกัน ยังคงเป็นไปด้วยดี”

โรดแมป 5 ปี ขยายธุรกิจสู่การเป็น “Food Service”
ผู้บริหารไข่หวานบ้านซูชิ ได้เล่าถึงโรดแมป Business Diversify ไข่หวานบ้านซูชิภายใน 5 ปีจากนี้ หรือประมาณปี 2030 จะขยายจาก “ธุรกิจร้านอาหาร” ไปสู่ “ผู้ให้บริการด้านอาหาร” (Food Service) เพื่อเป็นมากกว่าธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น และจะเป็น New S-curve สร้างรายได้ใหม่
– ขยายสู่ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream): ตั้งเป้า diversify ไข่หวานบ้านซูชิเป็นมากกว่าร้านอาหารญี่ปุ่นรูปแบบแฟรนไชส์ แต่ขยายไปสู่การเป็นหนึ่งในผู้เล่นของอุตสาหกรรมอาหาร ในฐานะ “Food Service” ผู้ผลิตและจัดหาวัตถุดิบอาหารให้กับตลาด B2B
“เราต้องการขยายธุรกิจกว้างไปถึงการเป็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งผลิตสินค้าของเราเอง และเป็น OEM ให้กับแบรนด์อื่นๆ เช่น ถ้าต้องการแซลมอลพร้อมเสิร์ฟ, ข้าวซูชิ, โชยุ, วาซาบิ เราจัดส่งให้ เพราะเราสั่งสมประสบการณ์มาระดับหนึ่งในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น นี่เป็นแผนที่เราวางไว้ภายใน 5 ปี ซึ่งจะทำให้เราเป็น Food Service ให้บริการลูกค้า B2B”

– เดินหน้าขยาย 500 สาขา: วางเป้าหมายขยายสาขาให้ได้ถึง 500 สาขาภายใน 3-5 ปี เพื่อครอบคลุมทุกพื้นที่ และเข้าถึงลูกค้าได้ใกล้ชิดขึ้น
“ปัจจุบันเรามีกว่า 200 สาขา ถือว่าเป็นแบรนด์ร้านซูชิของคนไทยที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาเรามีบทเรียนเรื่องการขยายสาขาค่อนข้างเร็ว เพราะฉะนั้นการขยายในอนาคตต้องแข็งแรง ถ้าไม่แข็งแรง เราไม่ขยาย เพราะมีช่องทางในการหารายได้อื่นด้วย”
– ครัวกลางสู่ภูมิภาค: ปัจจุบันไข่หวานบ้านซูชิมีครัวกลางที่สาขาเลียบด่วน-รามอินทรา และมีแผนขยายครัวกลางออกสู่ภูมิภาคต่างๆ ในไทยภายใน 3 ปีจากนี้ โดยจะเริ่มปี 2026 คาดว่าจะเป็นที่สมุทรปราการ พร้อมทั้งจ้าง Outsource ดูระบบโลจิสติกส์ เพื่อจัดส่งสินค้าไปสาขาต่างๆ และบริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น
“เราสร้างจากรากฐานก่อน พอฐานแข็งแรง เริ่มมองแล้วว่าจุดไหนที่เราต่อยอดไปได้ เพราะหลังจากขยายครัวกลางออกสู่ภูมิภาค ประกอบกับมีสาขาของแฟรนไชส์ นั่นเท่ากับว่าเรามีเครือข่าย มีครัวกลาง การจัดส่งสินค้า หรือโลจิสติกส์ทุกอย่างจะสอดคล้องกัน ทำให้ธุรกิจวิ่งไปในแนวทางที่เราวางไว้”
นั่นเท่ากับว่าต่อไปเมื่อรวมกับ Network สาขาร้านซูชิ และขยายธุรกิจไปสู่การเป็น Food Service ไข่หวานบ้านซูชิ จะเจาะตลาดได้ทั้ง B2C และ B2B

ปี 2026 เตรียมเปิด 2 โมเดลสาขาใหม่ เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
สำหรับแผนธุรกิจในปี 2026 ไข่หวานบ้านซูชิตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 30-50 สาขา โดยในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี เตรียมเปิดตัวสาขาเพิ่มอีก 2 โมเดลใหม่ นอกเหนือจากรูปแบบสาขาเดิม (อาคารพาณิชย์ และ Stand Alone) ได้แก่
- ร้านไข่หวานบ้านซูชิ รูปแบบ Grab & Go หรือ Pop-up Store: มีขนาดเล็กลงมากว่ารูปแบบอาคารพาณิชย์ และ Stand Alone ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 1 ปีครึ่ง เป็นรูปแบบสาขาที่เน้นขยายโลเคชันในเมือง เช่น โซนออฟฟิศย่านสาทร, สีลม และโซนรถไฟฟ้า เนื่องจากมี traffic ดี
- Kaiwanbaansushi Go (รถไข่หวาน Go) รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การจำหน่ายซูชิในรูปแบบเคลื่อนที่โดยสามารถให้บริการลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุดระยะเวลาคืนทุนอยู่ที่ 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยช่วงแรกจะนำเสนอให้กับลูกแฟรนไชส์ไข่หวานฯ เดิมก่อน

“เราทำเซอร์เวย์นักลงทุนแฟรนไชส์พบข้อมูลว่าขนาดสาขาในปัจจุบันของเรา ค่อนข้างใหญ่เกินไป ทำให้ Payback period นาน ซึ่งลูกแฟรนไชส์อยากได้โมเดลสาขาที่คล่องตัวกว่านี้ จึงได้พัฒนาโมเดลสาขารูปแบบใหม่ที่เล็กลง และสามารถ scale up ได้มากกว่าเดิม ขณะที่สินค้า ส่วนกลางจัดส่งสินค้าให้สาขานำไปวางจำหน่าย ทำให้การ Operation หน้าร้าน พนักงานไม่จำเป็นต้องมี skill เฉพาะ ทำหน้าที่คิดเงินเท่านั้น”
นอกจากขยายสาขาแล้ว เดินหน้าทำตลาดบริการ “Catering” ต่อเนื่อง ภายใต้บริการ “Kaiwanbaansushi Catering” เจาะกลุ่มงานประชุม งานเลี้ยงองค์กร งานปาร์ตี้ส่วนตัว หรืองานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ด้วยบริการ 3 รูปแบบ 1. Full Service (Type A) มีพนักงานปั้นสดใหม่พร้อมเสิร์ฟ สำหรับงานขนาดใหญ่ 2. Delivery Service (Type B) จัดส่งซูชิถึงที่ เหมาะสำหรับงานประชุม สัมมนา หรืองานที่เน้นความรวดเร็วและความคุ้มค่า และ 3. Set Box Service (Type C) กล่องพร้อมทาน เหมาะสำหรับงานสัมมนา งานอบรม หรืองานที่ต้องการแจกอาหารแบบกล่องเดี่ยว (Snack Box) พร้อมเครื่องเคียงและน้ำดื่ม เน้นความสะดวกในการแจกจ่าย (ไม่มีพนักงานบริการ)

“ปีหน้าธุรกิจร้านซูชิ ยังคงแข่งดุเช่นเดียวกับปีนี้ แต่เราทำทุกอย่าง เพื่อยืนระยะให้นานที่สุด และเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป้าหลักอีกเป้าหนึ่งที่เราวางไว้ คือ ‘การยืนระยะให้ได้นานที่สุด’ และเป็น ‘Top of mind’ ของซูชิราคาเข้าถึงง่าย และคุ้มค่า
นั่นหมายความว่าสิ่งที่เราทำจะสะท้อนให้กับลูกค้าได้รับทราบว่า เมื่อไรก็ตามที่ต้องการซูชิในราคาเข้าถึงง่าย คุณภาพ และคุ้มค่า ‘ไข่หวานบ้านซูชิ’ เป็นคำตอบให้กับลูกค้า ขณะที่การขยายการเติบโตทางธุรกิจออกไปมากกว่านั้น ในฐานะ Food Service ถ้านึกถึงวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น ต้องนึกถึงไข่หวานบ้านซูชิ” คุณสุรพงศ์ สรุปทิ้งท้ายถึงเป้าหมายไข่หวานบ้านซูชิในอนาคต

ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของตลาดอาหารญี่ปุ่นในปัจจุบัน ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับ ไข่หวานบ้านซูชิ ในการรักษาสมดุลระหว่างมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการของแฟรนไชส์ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาทั้ง “ความคุ้มค่า” และ “ประสบการณ์” ที่ดี
การสร้างกำไรภายใต้โจทย์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่ากลยุทธ์และแผนธุรกิจดังกล่าวจะสัมฤทธิ์ผลได้มากน้อยเพียงใด



