“ภาวะโลกร้อน” ถือเป็น Topic ของคนทั่วโลกมาหลายปี หลายองค์กรได้ออกมาสร้างการรับรู้ถึงคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัญหาระดับโลกเหล่านี้คุณอาจมองว่าไกลตัว หากจำกัดวงให้แคปลงมาเหลือแค่ในเขตกรุงเทพฯ ประเด็ตฮอตของคนกรุงในช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้น ฝุ่น PM2.5 ไมครอน ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยตรง หรือพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ ที่ค่อยๆ ลงลงเรื่อยๆ จนอยู่ที่ 6 ตารางเมตรต่อ 1 คน ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลกที่อยู่ที่ 9 ตารางเมตรต่อ 1 คน
เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ และไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งในการแก้ปัญหา แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญของต้นไม้ จากปัญหาดังกล่าว คุณวัสนัย ภคพงศ์พันธุ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ (MQDC) เผยว่า วิธีแก้ไขเดียวที่ทำได้คือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว เดอะ ฟอเรสเทียส์ จึงได้สร้างโครงการอสังหาฯ มูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาท และเป็นโมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์ ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ศูนย์เรียนรู้ ที่ผสานอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย บนพื้นที่ 30 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่สีเขียว 3 ไร่ ในอนาคตจะเปิดให้ทุกคนเข้าไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้
คุณภาคย์ วรรณศิริ Executive creative director บริษัท เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน ประเทศไทย เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแคมเปญนี้มาจากภาพการตัดต้นไม้ตามถนนต่างๆ ในกรุงเทพฯ ที่แชร์กันในสื่อออนไลน์ จึงเกิดเป็นคำถามว่า ทำไมทุกครั้งที่มีการสร้างถนน อาการ หรือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ “ต้นไม้” จึงกลายเป็นจำเลยอันดับหนึ่งที่ต้องเสียสละชีวิตเพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์ หากจะบอกว่าเราเลือกตัดต้นไม้ก่อนตัดสายไฟคงไม่ผิด เรามองว่าต้นไม้ทุกต้นมีคุณค่า ต่อให้ย้ายไปที่อื่นก็ยังมีประโยชน์เหมือนเดิม และการทำ CSR ส่วนใหญ่จะเน้นที่การปลูกป่า ซึ่งหากมองในความเป็นจริงกว่าต้นไม้จะโตพอให้ร่มเงาอาจต้องใช้เวลา 20-30 ปี เราจึงคิดอีกมุมว่า “ไม่ปลูกดีกว่า แต่เลือกรักษาต้นไม้ใหญ่”
เราอยากทลายเรื่อง CSR เราเชื่อว่า Communication ต้องมี Positive Message เพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้สังคม เหมือนกับเรื่องราวในภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้ในแคมเปญ ที่เล่าถึงความผูกพันระหว่างต้นไม้และมนุษย์ พร้อมทั้งสร้างการตระหนักรู้และชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของต้นไม้ว่ายิ่งต้นไม้ลดลงเท่าไหร่ ความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีของเราก็จะลงลดมากขึ้นเท่านั้น
httpv://www.youtube.com/watch?v=89od3KrsLp0&t=80s
หลังจากเปิดตัวแคมเปญมีผู้ที่สนใจแจ้งเข้ามากว่า 50 ต้น ผ่าน #ForestRescue ซึ่งตอนนี้ช่วยเหลือไปแล้วกว่า 20 ต้น คุณวัสนัย บอกว่า ทุกต้นที่ได้รับแจ้งเข้ามา ต้องมีการส่งทีมงานเข้าไปประเมินก่อน เบื้องต้นค่าขนส่งต่อ 1 ต้นอยู่ที่ 150,000 บาท ในเฟสแรก (31 ธันวาคม 2561) เราใช้งบไปกว่า 70 ล้านบาท ต้นไม้ทุกต้นที่ให้ความช่วยเหลือจะถูกกระจายออกไปในส่วนต่างๆ ของโครงการ เพราะบางต้นไม่สามารถปลูกด้วยกันได้ ทุกต้นจะติดป้ายว่ามาจากไหน และมีผู้เชี่ยวชาญให้การดูแลโดยเฉพาะ อาทิ ต้นมะขาม บริเวณพุทธมณฑลสาย 3 ที่อยู่ในพื้นที่เดิมตั้งแต่การสร้างบ้าน แต่มีเหตุจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายเพราะต้นไม้โตจนเริ่มเบียดกำแพงจนกำแพงพัง ซึ่งความยากของการย้ายต้นมะขามอยู่ที่รากและกิ่งไม้มีจำนวนมากและมีความเหนียว ทำให้การทำงานของรุกขกรต้องใช้เวลาเคลื่อนย้ายเยอะขึ้น เป้าหมายของเราคือ ทำให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำไปเรื่อยๆ
“MQDC ไม่ต้องการทำตลาดแบบปกติ เราต้องการอะไรใหม่ๆ ที่ย้ำ Brand Purpose สร้าง Awareness โดยไม่ฮาร์ทเซล เราอยากเป็นแบรนด์ที่ไม่แก่ และไม่หนุ่มมากเกินไป มีความสุขกับตัวเอง และแชร์ความสุขให้คนอื่นด้วย”
ทุกวันนี้ยังมีต้นไม้อีกมากมายที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากเราทุกคน แคมเปญนี้ไม่ใช่การช่วยเหลือเพียงแค่ให้ต้นไม้สามารถอยู่รอดต่อไปในพื้นที่เดิม ซึ่งไม่สามารถการันตีอนาคตของต้นไม้ได้ แต่เป็นเหมือนเราทุกคนสามารถเป็น “กระบอกเสียง” ต่อชีวิตให้กับต้นไม้ด้วยการช่วยหาบ้านใหม่ให้ต้นไม้ได้มีพื้นที่เติบโตในที่ที่เหมาะสมและให้ต้นไม้เหล่านี้ได้มีอายุต่อไปจนสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ โดยที่ทุกต้นยังสามารถทำหน้าที่สร้างประโยชน์ต่อมนุษย์และรักษาสมดุลระบบนิเวศได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราต้องการสร้างกระแสไปยังกลุ่มเป้าหมาย คือ คนทั้งประเทศไทย ได้รับรู้และตระหนักถึงคุณค่าของต้นไม้ หวงแหน และเสียดายชีวิต ของต้นไม้ในเมือง