รายงาน AI ประจำปี 2025 ของ McKinsey เผยให้เห็นภาพจริงของเรื่องเทคโนโลยีที่ทุกบริษัทกำลังตื่นตัว แม้ 90% ขององค์กรทั่วโลกจะประกาศว่าตนเอง “ใช้ AI แล้ว” แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งกลับพบว่าเส้นทางสู่การใช้งานจริงในระดับองค์กรยังเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน รายงานนี้จึงถอดบทเรียนสำคัญออกมาเป็น 10 ประเด็นที่ที่หลายองค์กรไม่ค่อยอยากยอมรับ
1. องค์กรส่วนใหญ่ติดอยู่ในโหมดทดลองมากกว่าการใช้งานจริง
แม้ภาพรวมจะแสดงว่ากว่า 90% ของบริษัทใช้งาน AI แต่กว่า 2 ใน 3 ยังคงดำเนินเพียงโครงการนำร่อง การเกิดเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากการสร้างโมเดลไม่ได้ แต่เกิดจากฐานของข้อมูลที่ยังไม่ดีเพียงพอ การไม่เชื่อมต่อ และไม่แม่นยำ รวมถึงระบบเทคโนโลยีที่ยังไม่พร้อมรองรับ
2. คลื่นของ AI agents เริ่มพุ่งแรง
โดยเฉพาะใน Tech และ Healthcare กว่า 62% ขององค์กรเริ่มทดลอง AI agents และ 23% กำลังขยายผลจริงจัง อุตสาหกรรมสุขภาพเป็นพื้นที่ที่ลงทุนในเรื่องนี้ เพราะมีระบบที่ข้อมูลซับซ้อนและผู้คนต้องการคำแนะนำที่ชัดเจน จึงเปิดโอกาสให้ AI agents กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่เริ่มมีผลลัพธ์จับต้องได้
3. ช่องว่างระหว่าง “ความรู้สึกว่านวัตกรรมดีขึ้น” กับ “ผลกำไรจริง” ยังห่างไกล
แม้ 64% ของผู้นำองค์กรจะยืนยันว่า AI ช่วยกระตุ้นนวัตกรรม แต่มีเพียง 39% ที่เห็นผลกำไร EBIT จริง การสร้างผลตอบแทนจาก AI ต้องอาศัยการลงทุนสูง ทั้งด้านเทคโนโลยี ทีมงาน และกระบวนการทั้งหมดที่ต้องถูกปรับโครงสร้างใหม่เพื่อทำงานร่วมกับ AI อย่างมีประสิทธิภาพ
4. องค์กรที่ทำสำเร็จจริงมีเพียง 6% และกล้าคิดใหญ่กว่าใคร กลุ่มนี้รื้อกระบวนการเดิม
ปรับโครงสร้างงานใหม่ และตั้งเป้าการเติบโตอย่างจริงจัง บริษัทไม่ได้ทำแค่โครงการทดลอง แต่ลองทำ AI ในโครงการ Pilot จนสามารถใช้ AI เปลี่ยนแปลงได้ แล้วปล่อยให้ผลลัพธ์ส่งผลต่อทั้งระบบ นี่คือกลยุทธ์แบบคิดใหญ่ ลงมือจริง และลงทุนจริงผู้นำที่ลงมือเองทำให้องค์กรมีโอกาสขยายผลมากกว่าเดิม 3 เท่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ต้องการการสนับสนุนระดับผู้บริหารอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงสนับสนุนเชิงนโยบาย แต่ต้องเข้าใจ ลงมือร่วมกัน และเป็นแรงผลักให้ทีมกล้าขยับไปข้างหน้า องค์กรที่ผู้นำ “เป็นเจ้าของ AI ด้วยตัวเอง” มักก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด
5. ผู้นำที่ลงมือเองทำให้องค์กรมีโอกาสขยายผลมากกว่าเดิม 3 เท่า
AI เป็นเทคโนโลยีที่ต้องการการสนับสนุนระดับผู้บริหารอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงสนับสนุนแบบเชิงนโยบาย แต่ต้องเข้าใจในสิ่งที่จะทำและร่วมลงมือร่วมกัน เป็นแรงผลักให้ทีมกล้าขยับไปข้างหน้า กล้าลองผิดลองถูก และใช้เองด้วย องค์กรที่ผู้นำ “เป็นเจ้าของ AI ด้วยตัวเอง” มักก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด
6. ผู้ชนะไม่ใช้ AI เพื่อเร่งงานเดิม แต่เพื่อเปลี่ยนวิธีทำงานใหม่ทั้งหมด
การลดแรงเสียดทานในกระบวนการทำงานให้ราบรื่นขึ้นให้คุณค่ามากกว่าที่หลายคนคิด ตั้งแต่ประสิทธิภาพไปจนถึงขวัญกำลังใจของพนักงาน มูลค่าที่ไม่ได้เป็นตัวเงินเหล่านี้กลับเป็นตัวเร่งการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
7. บริษัททั่วไปวัดประสิทธิภาพ แต่บริษัทที่ล้ำหน้าวัด “ความเร็วในการลงมือทำ”
ความเร็วในการเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นการตัดสินใจปฏิบัติจริง กลายเป็นความได้เปรียบใหม่ขององค์กรยุค AI ยิ่งระบบตอบสนองได้เร็ว องค์กรยิ่งมีโอกาสนำหน้าในตลาดที่แข่งขันกันด้วยจังหวะและเวลา
8. ความเสี่ยงจาก AI เริ่มปรากฏชัดขึ้น
ความผิดพลาดจากข้อมูลที่ไม่แม่นยำทำให้หลายบริษัทเริ่มลังเลที่จะมอบการตัดสินใจสำคัญให้ AI การเติบโตของเนื้อหาที่ถูกสร้างแบบไม่แม่นยำหรือ “AI Slop” กำลังทำให้ความไว้วางใจกลายเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการนำ AI ไปใช้ในระดับองค์กร
9. ผลกระทบต่อแรงงานยังไม่มีใครตอบได้ชัดเจน
องค์กรจำนวน 32% คาดว่าจะลดงานลง ในขณะที่ 13% คาดว่าจะเพิ่มตำแหน่ง งานที่เป็นขั้นตอนซ้ำ ๆ และมีข้อมูลคาดเดาได้มีโอกาสถูกแทนที่ แต่ขณะเดียวกันงานใหม่ก็จะเกิดขึ้น ทั้งด้านวิศวกรรม ความเสี่ยง การขาย และภาวะผู้นำ
10. แม้การใช้ AI จะเป็นเรื่องปกติ แต่การเปลี่ยนแปลงจริงยังแทบไม่เริ่มต้น
การนำ AI ไปใช้ในระดับ Transformation ต้องใช้เงินลงทุนสูง ยิ่ง hardware อย่างชิปประมวลผลมีอายุการใช้งานสั้นและถูกแทนที่เร็ว องค์กรยิ่งต้องวางกลยุทธ์ให้เฉียบคม ไม่ใช่วิ่งตามเทรนด์แบบไร้ทิศทาง
10 ประเด็นนี้สะท้อนความจริงว่าการใช้ AI ไม่ได้ให้รางวัลกับผู้ที่เริ่มก่อน แต่ให้กับผู้ที่เข้าใจโครงสร้าง คิดอย่างเป็นระบบ กล้าปรับกระบวนการ และเลือกลงทุนในสิ่งที่สร้างคุณค่าจริง เมื่อโลกเริ่มใช้ AI พร้อมกันทั้งหมด ความได้เปรียบจึงไม่ใช่การมีเครื่องมือเหมือนใคร แต่คือความสามารถในการเปลี่ยนเครื่องมือนั้นให้กลายเป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่เหนือกว่าอย่างยั่งยืน
