6 วิธีใช้ Framing Effect สำหรับสร้างภาพและมุมมองแบรนด์ให้เหนือระดับ

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในโลกการตลาดที่การแข่งขันสูงมาก การมี “ภาพจำ” ของสินค้าและบริการ อาจสำคัญยิ่งกว่าคุณสมบัติจริง เพราะมนุษย์ตีความทุกสิ่งผ่านกรอบความคิด หรือที่เรียกว่า framing effect ที่มักมีอคติโน้มเอียงไปทางบวกหรือลบอยู่เสมอ ดังนั้นงานของเอเจนซีและนักสื่อสารแบรนด์จึงไม่ใช่แค่ “บอก” ว่าสินค้าดีแค่ไหน แต่ต้อง “จัดกรอบสร้างภาพ” ให้ผู้บริโภครับรู้คุณค่าในมุมที่ต้องการ

Framing Effect คือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่การ “จัดกรอบ” ข้อมูล ในการเลือกคำ พาดหัว ตัวเลข หรือบริบท สามารถเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนตีความและตัดสินใจได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งที่ข้อเท็จจริงแท้จริงยังคงเดิม แนวคิดนี้ถูกพิสูจน์ครั้งแรกโดย Amos Tversky และ Daniel Kahneman (ค.ศ. 1981) ผ่าน “Asian Disease Problem” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเพียงเปลี่ยนวิธีนำเสนอผลลัพธ์ (เน้นคนรอด vs คนตาย) ก็ทำให้คนเลือกทางออกที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าความน่าจะเป็นเชิงสถิติจะเท่ากันทุกประการ

นักการตลาดสามารถใช้หลักการ Framing Effect ได้ 6 วิธีที่จะทำให้แบรนด์สามารถสร้างภาพ และมุมมองให้เหนือระดับและสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ทันที

  1. Exclusivity Framing

สร้างภาพลักษณ์ “เฉพาะกลุ่ม” ที่ใครก็อยากมีส่วนร่วม เช่น Porsche ใช้สโลแกนเรียบง่ายเช่น “There is no substitute” เพื่อตรึงจิตวิญญาณความหรูหราและความเป็นหนึ่งเดียวในใจคน แทนที่จะพร่ำบอกว่า “ขับสนุก” หรือ “ทุกคนขับได้” แบรนด์กลับเน้นว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้สัมผัสความรู้สึกระดับนี้ แนวคิดเดียวกันถูกต่อยอดโดยบัตรเครดิตแบล็กหายาก หรือคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรีในย่านวิทยุ หรือแม้แต่คอลเลกชันน้ำหอมรุ่นลิมิเต็ด คำสำคัญคือ “จำกัด” “คัดสรร” และ “แตกต่าง” เพราะความขาดแคลนกระตุ้นอารมณ์อยากครอบครองได้เสมอ

  1. Contrast Framing

ตอกย้ำจุดต่างจนข้อกังวลหายไป เช่น Tylenol ชูจุดแข็งว่า “อ่อนโยนต่อกระเพาะกว่าแอสไพริน” แค่เปลี่ยนคำถามเรื่องความปลอดภัยให้กลายเป็นจุดขาย ในกลุ่มเวชภัณฑ์หรือสกินแคร์ที่ผู้ซื้อระวังเรื่องแพ้ง่าย ก็สามารถใช้ Framing Effect นี้ได้ดี เพียงระบุชัดเจนว่าปราศจากสารก่อการระคาย เครื่องหมาย Dermatologist-tested หรือ Hypoallergenic ก็เป็น “หลักฐานเชิงเปรียบเทียบ” ที่ทำให้ลูกค้าโล่งใจทันที

  1. Certainty Framing

การันตีความมั่นใจแบบ “ไม่มีถ้าหาก” เช่น FedEx เคยสร้างตำนานด้วยคำว่า “When it absolutely, positively has to be there overnight.” ความแน่วแน่ดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการเชื่อว่า “ไม่มีวันพลาด” กับสังคมการค้าออนไลน์ไทย การันตีแบบ Same-day delivery หรือ เงินคืนหากช้า กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ลูกค้าให้รางวัลด้วยการกลับมาซื้อซ้ำ หน้าที่เอเจนซีคือขยายสารนี้ไปทุกช่องทางตั้งแต่โฆษณาบิลบอร์ดจนถึงข้อความพัสดุ เพื่อย้ำความแน่นอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

  1. Provocative Framing

ท้าทายสมมติฐาน จนคนต้องหยุดคิด เช่น Oatly เขย่าวงการนมวัวด้วยข้อความบนกล่องว่า “Wow, no cow!” ทำให้ผู้ดื่มต้องถามตัวเองว่าทำไมยังยึดติดกับนมวัว ถ้าธุรกิจไทยต้องการสร้างความแตกต่างจากหมวดสินค้าเก่าแก่ เช่น ประกันภัย หรือสถาบันกวดวิชา ลองตั้งคำถามแรงๆ ที่จับหัวใจปัญหา อาทิ “ทำไมประกันสุขภาพถึงต้องซับซ้อน?” หรือ “ทำไมเด็กไทยต้องนอนอ่านหนังสือเป็นพันหน้า?” ด้วยถ้อยคำท้าทายกระตุกให้ตลาดหันมามองคุณทันที

  1. Freedom Framing

เน้นอิสระจากข้อจำกัดเดิมๆ สินค้าพวก Invisalign ดึงดูดคนที่กลัวเหล็กดัดฟัน ด้วยภาพรอยยิ้มที่ไม่ต้อง “ติดลวด” ทำให้อิสระจากความเจ็บและความเขินในไทย คอนเซปต์ “ไร้เส้น” “ไร้คิว” หรือ “ไร้ดอกเบี้ย” ถูกนำไปใช้ตั้งแต่บริการฟิตเนสรายเดือนยืดหยุ่น ไปจนถึงแอปผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0% หัวใจคือปลดล็อก Pain Point ที่ขวางการตัดสินใจ แล้วประกาศเสียงดังว่าคุณช่วยให้ลูกค้า “มีอิสระ” มากขึ้นกว่าทางเลือกเก่า

  1. Comparison Framing

เปรียบเทียบให้เห็นภาพ แล้วปิดดีลด้วยความง่าย Apple เปลี่ยนวิธีพกพาเพลงจาก “ใส่ซีดี 20 เพลงในกระเป๋า” เป็น “1,000 เพลงในกระเป๋าเดียว” ด้วยตัวเลขจับต้องได้ช่วยวาดภาพอนาคตที่ทุกคนอยากสัมผัส
สำหรับแบรนด์ไทย การเปรียบเทียบที่จับใจที่สุดมักเกี่ยวกับเวลา พื้นที่ หรือเงิน เช่น “ประหยัดเวลาเดินทางเท่ากับได้ดูซีรีส์ 3 ตอน” หรือ “จ่ายน้อยกว่ากาแฟแก้วเดียวต่อวัน” ตัวเลขชัดๆ ทำให้ข้อเสนอไม่ใช่แค่ดี แต่ “ดีกว่า” ทางเลือกที่ผู้บริโภคคุ้นชิน

 

 

การจัดกรอบ (Framing) ไม่ใช่การบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่คือการเลือก “ภาพ” ให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าในมุมที่เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้บริโภคและต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะขายซูเปอร์คาร์ ประกันชีวิต หรือสตรีทฟู้ดพรีเมียม หากเข้าใจและใช้ 6 กรอบนี้อย่างชาญฉลาด แล้วสื่อสารอย่างสม่ำเสมอ ก็จะเปลี่ยนความรู้สึกของตลาด ยกระดับราคาที่รับได้ และสร้างภาพลักษณ์ที่ตราตรึงยาวนานกว่าแคมเปญผิวเผินหลายเท่า เพราะท้ายที่สุด ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อแค่ “สินค้า” แต่ซื้อ “ความรู้สึก” ที่แบรนด์ปลุกขึ้นมาผ่านกรอบความคิดที่วางไว้นั่นเอง.


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ