จะสร้างแบรนด์ให้ครองใจคนโดยใช้ Dopamine ได้อย่างไร

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

มีจังหวะหนึ่งที่กำหนดวิธีที่มนุษย์ “อยากได้” สิ่งต่าง ๆ ในชีวิต จังหวะนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กลับทรงพลังพอจะผลักดันให้เราหลงใหล ซื้อหา และผูกพันกับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง นั่นคือ “จังหวะแห่งการคาดหวัง” หรือ Anticipation จังหวะที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง “สิ่งที่เราต้องการ” กับ “เวลาที่เราจะได้มัน” นั้นเองคือความปรารถนา

นักการตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่าความต้องการของผู้บริโภคเกิดจากการเห็นแบรนด์บ่อย การสื่อสารที่สุดยอด หรือแคมเปญที่สะดุดตา แต่สมองของมนุษย์กลับไม่ได้ทำงานเช่นนั้น งานวิจัยทางประสาทวิทยาชี้ว่าความอยากไม่ได้เกิดขึ้นตอนเราได้ของ แต่มันเกิดขึ้นตอน “เรากำลังรอ” เมื่อเราคาดหวังถึงรางวัล สมองจะหลั่งสาร Dopamine ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งแรงจูงใจและความสุข  แต่สาร Dopamine นี้ไม่ได้พุ่งขึ้นตอนของมาถึง มันพุ่งขึ้นตอนที่คิดถึงสิ่งของนั้นต่างหาก

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมช่วง “Coming Soon” จึงดูตื่นเต้นกว่าวันเปิดขายจริง ทำไมเราถึงคอยรีเฟรชอีเมลหลังลงทะเบียน หรือทำไมลูกค้าบางกลุ่มถึงยังติดตามแบรนด์ที่ดูเหมือน “มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น” ความปรารถนาไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ได้ครอบครอง แต่อยู่ในระยะห่างระหว่างความอยากและการเติมเต็ม เมื่อแบรนด์ปิดช่องว่างนี้เร็วเกินไป ความปรารถนาก็ดับ แต่ถ้าควบคุมจังหวะได้ดี การรอคอยจะกลายเป็นความภักดีรูปแบบใหม่

 

ภาพจาก: Conversion Uplift

แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Goal-Gradient Theory ทฤษฎีที่บอกว่า มนุษย์มีแรงผลักดันสูงที่สุดเมื่อเข้าใกล้เส้นชัยแต่ยังไม่ถึง เราไม่ได้หลงใหลใน “การครอบครอง” เท่ากับ “การคืบหน้า” การรอคิวสินค้า การได้เห็นคำว่า “สินค้าจำกัดจำนวน” หรือแม้แต่การติดอยู่ใน Waiting List ล้วนจุดชนวนพลังนี้ทั้งสิ้น เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่ากำลังเดินทางไปสู่บางสิ่ง

ระยะห่างระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคจึงไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นเครื่องมือ เมื่อแบรนด์เว้นช่องว่างพอเหมาะ สมองของผู้คนจะเริ่มจินตนาการถึงการได้ครอบครองหรือมีส่วนร่วมกับมัน และการจินตนาการนี้เองที่สร้าง “ความเป็นเจ้าของทางอารมณ์” ล่วงหน้า เมื่อของมาถึงจริง ความรู้สึกนั้นจะกลายเป็นรางวัลที่ผู้บริโภครู้สึกว่าตน “ควรได้รับ” ในทางกลับกัน เมื่อแบรนด์พูดมากเกินไป เปิดเผยเร็วเกินไป หรือขายบ่อยเกินไป วงจรโดพามีนนี้จะหยุดทำงาน พลังแห่งความรอคอยจะหายไปทันที ศิลปะแห่งการสร้างความปรารถนา จึงไม่ใช่การเร่งจังหวะ แต่คือการ “เว้นจังหวะ” อย่างมีชั้นเชิง

ทุกวันนี้โลกออนไลน์ทำให้ทุกคลิก ทุกการแจ้งเตือน กลายเป็นจุดกระตุ้นโดพามีนขนาดย่อม แต่ยิ่งเราได้รับความพึงพอใจบ่อยเท่าไร ความตื่นเต้นก็ยิ่งลดลง สมองปรับตัวอย่างรวดเร็ว ความสุขจากการได้ทันทีจึงกลายเป็นความเฉยชา นี่คือเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ที่ “อยู่ตลอดเวลา” ถึงค่อย ๆ จางหายไปจากความรู้สึกของผู้บริโภค เพราะเมื่อทุกอย่างมาถึงเร็วเกินไป สมองก็ไม่มีเหตุผลจะรอ ไม่มีพื้นที่ให้จินตนาการ และไม่มีความผูกพันที่จะสร้างความทรงจำ

แบรนด์ที่เข้าใจจังหวะทางอารมณ์นี้จึงไม่เร่งเร้าเกินไป แต่รู้ว่าจะหยุดตรงไหน รู้ว่าจะปล่อยให้ผู้ชม “รอ” นานเท่าไรเพื่อให้สมองยังหลั่ง Dopamine อย่างต่อเนื่อง พวกเขาสร้าง “จังหวะหัวใจ” ให้แบรนด์  จังหวะที่ประกอบด้วยความตึง ความคลาย และช่วงพัก เพื่อให้แบรนด์มีชีวิตชีวาเหมือนจังหวะของมนุษย์

 

 

หากมองลึกลงไป แก่นของการสร้างแบรนด์คือการจัดการ “อารมณ์ในระยะยาว” ทุกข้อความ สี เสียง หรือแม้แต่ความเงียบ ต่างคือจังหวะของการสื่อสาร ถ้าช้าเกินไป ผู้คนก็ลืม ถ้าเร็วเกินไป ผู้คนก็เหนื่อย แต่ถ้าแบรนด์สร้างจังหวะที่มีทั้งความคาดหวังและการปลดปล่อย ผู้ชมจะเริ่ม “เฝ้ารอ” ทุกการเคลื่อนไหวของแบรนด์โดยไม่รู้ตัว

การสร้างความคาดหวังจึงไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่มันคือศิลปะของการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งในยุคที่ผู้คนเสพข้อมูลอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป “การรอคอย” กลับกลายเป็นอารมณ์หรูหราที่หายาก การได้เฝ้ารอสิ่งใดอย่างมีความหมาย ทำให้สมองหลั่งโดพามีนในรูปแบบที่ลึกกว่า และทำให้แบรนด์กลายเป็นประสบการณ์ที่มีน้ำหนักทางอารมณ์มากกว่าการซื้อขาย เพราะสุดท้ายแล้ว ความปรารถนาไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการมีของครบมือ แต่มันเกิดจาก “สิ่งที่ยังไม่มา” เมื่อแบรนด์สามารถออกแบบช่วงเวลานั้นได้  ช่วงที่ผู้คนจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แบรนด์ก็ไม่เพียงครองตลาด แต่จะครองใจผู้คน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ
CLOSE
CLOSE