เมื่อหลักการตลาดแบบเดิมไม่เพียงพอ 3i นวัตกรรมสามประสานปัจจัยที่นักการตลาดต้องรู้

  • 58
  •  
  •  
  •  
  •  

497488735-700

จากสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในด้านการขับเคลื่อนภาคธุรกิจเป็นอย่างมากทั้งในระดับประเทศ และระดับเวทีโลก ทำให้ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความตื่นตัวของภาคธุรกิจในประเทศไทยที่มีต่อกระแสโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรมในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อภาคธุรกิจแล้ว หลักการตลาดแบบเดิมๆ อย่าง 4P หรือ 4C ไม่สามารถครอบคลุมกลยุทธ์การทำการตลาดอีกต่อไป

ล่าสุด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผย “นวัตกรรมสามประสาน (3i)” สามปัจจัยที่นักการตลาดทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคนวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้แก่ นวัตกรรมในการพัฒนาสินค้าและบริการ (iProduct & Service) นวัตกรรมและภาพรวมทิศทางการตลาด (iMarket) และนวัตกรรมที่ส่งผลต่อช่องทางการทำธุรกิจ (iChannel)

นวัตกรรมในด้านพัฒนาสินค้าและบริการ (iProduct & Service)

นวัตกรรมกลายเป็นหนึ่งในตัววัดผลสำคัญของธุรกิจ เห็นได้จากการที่หลายบริษัทหันมาให้ความสนใจ และลงทุนกับด้านการทำวิจัยและพัฒนา (Research & Development) เพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ในการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ บริการ หรือแม้กระทั่งรูปแบบธุรกิจแบบใหม่ๆ มากขึ้น แต่มากกว่า 60% ของบริษัทลงทุนไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างเปล่าประโยชน์ เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นมองเห็นว่าการทำวิจัยและพัฒนาเป็นคนละเรื่องกับการทำธุรกิจที่ทำอยู่ทุกวัน เช่น การแยกแผนกวิจัยและพัฒนา ออกจากผู้ประกอบกิจกรรมต่างๆ ในธุรกิจ ซึ่งนำไปสู่การขาด Insight ที่แท้จริงของผู้ปฏิบัติงาน โดยความจริงแล้วการทำวิจัยและพัฒนาควรเป็นการใช้กระบวนการอย่างมีระบบ  หรือปลูกฝังให้อยู่ในวัฒนธรรมขององค์กร ซึ่งหากบริษัทต่างๆ หันมาปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ผลการวิจัยและพัฒนาที่ได้ลงทุนไป จะมีโอกาสสำเร็จขึ้นอีกกว่าเท่าตัว

หลังจากได้แนวคิดที่น่าสนใจแล้ว การทำให้แนวคิดหรือไอเดียต่างๆ เกิดขึ้นได้จริงและเป็นประโยชน์กับธุรกิจเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทายกับทุกองค์กร โดยเฉพาะหากแนวคิดนั้นเป็นเรื่องใหม่ ที่ทางองค์กรไม่มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในเรื่องดังกล่าว หนึ่งตัวแปรสำคัญซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถขจัดปัญหาต่างๆ เหล่านี้คือ Crowdsourcing หรือการระดมความคิดเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาแบบออนไลน์ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวทำหน้าที่ในการเป็นตัวกระจายปัญหาไปยังวงกว้างเพื่อหาคำตอบ และสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาธุรกิจตามโจทย์ที่ได้รับมาจากการทำวิจัยและพัฒนา

นวัตกรรมและภาพรวมทิศทางการตลาด (iMarket)

เมื่อนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทอย่างมากกับภาพรวมการตลาด และถือได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการปฏิวัติแนวความคิดการทำธุรกิจยุคใหม่ในสภาวะที่ธุรกิจสตาร์ทอัพได้ประยุกต์ใช้นวัตกรรมกับธุรกิจ ผู้ประกอบการธุรกิจใดยังไม่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม อาจสูญเสียโอกาสในการทำตลาดได้ นวัตกรรมจึงกลายเป็นตัวกำหนดทิศทางการตลาดในปัจจุบันและสามารถคาดการณ์ถึงทิศทางการตลาดในอนาคตอันใกล้ได้เป็น 7 ลักษณะดังต่อไปนี้

  1. Accelerated Change – การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลกจะรวดเร็วขึ้นและทั่วถึงมากขึ้น
  2. Fast Innovation – นวัตกรรมใหม่ๆ จะถูกพัฒนาให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
  3. Smart Technology – วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกตัวแปรของธุรกิจ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ โมเดลธุรกิจ
  4. Predictive System – ทุกอย่างจะสามารถวัด และคาดการณ์อนาคตได้ โดยระบบการคาดการณ์นี้จะสำคัญต่อเรื่องทิศทางการตลาดเป็นอย่างมาก
  5. Connected Markets – ทุกตลาดจะเชื่อมโยงกันหมดทั่วโลก การซื้อขายแลกเปลี่ยนทั่วโลกจะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม
  6. Digital Everything – ทุกอย่างจะเข้าสู่ระบบดิจิตอล ตั้งแต่การเก็บข้อมูล ประมวลผล และปฏิบัติการต่างๆจะผ่านระบบดิจิตอล
  7. Mobile Commerce – ช่องทางการซื้อขายแบบติดตัว ที่ผู้ใช้โทรศัพท์ทุกคนสามารถติดต่อ ซื้อ ขาย ได้อย่างสะดวก ตลอดเวลา

นวัตกรรมที่ส่งผลต่อช่องทางการทำธุรกิจ (iChannel)

นอกจากนวัตกรรมจะส่งผลต่อการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ และภาพรวมการตลาดแล้ว อีกหนึ่งผลกระทบสำคัญจากนวัตกรรมคือการเปลี่ยนแปลงช่องทางในการทำธุรกิจ และเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ (Disruption) โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการเงิน และธุรกรรมทางการเงินกับธุรกิจต่างๆ คือ ฟินเทค (FinTech) ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ฟินเทคเป็นมากกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องธุรกรรมทางการเงิน แต่ฟินเทคได้กลายเป็น “อาวุธ” สำคัญที่ทำให้นวัตกรรมที่ถูกคิดค้นขึ้น สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจและสร้างโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดสำหรับโมเดลธุรกิจที่พัฒนาขึ้น และถูกแพร่กระจายต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ฟินเทค คือนวัตกรรมที่ส่งผลต่อช่องทางการทำธุรกิจ สามารถสังเกตได้จากสถานการณ์ของฟินเทคในเวทีโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าการลงทุนในธุรกิจฟินเทคเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในไตรมาสแรกของปี 2559 นี้ มีการเติบโตขึ้นถึง 67% ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง 62% ของมูลค่าการลงทุนนั้นเกิดขึ้นในเอเชียและยุโรป และจากการสำรวจแบบเจาะลึกถึงการเติบโตของมูลค่าการลงทุนในเอเชียของปี 2557 – 2558 พบว่า มีการเติบโตขึ้นถึง 445% โดยหลักๆ มาจาก 2 ประเทศ คือ จีน (2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ อินเดีย (1.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)


  • 58
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE