เลิกใช้ Metric เหล่านี้ เพราะมันไม่ได้สะท้อนอะไรที่จะทำให้ธุรกิจเติบโต

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทีมการตลาดจำนวนมากมักนำเสนอรายงานและ Dashboard ที่เต็มไปด้วยตัวเลข กราฟ สัญลักษณ์ลูกศรและคำศัพท์เชิงเทคนิค แต่หากมองอย่างลึกซึ้งแล้วตั้งคำถามที่สำคัญคือ “กำลังวัดสิ่งที่มีความหมายจริงหรือไม่” ซึ่งความจริงคือ Metrics หลายตัวไม่มีความเกี่ยวข้องหรือสร้างคุณค่ากับธุรกิจแล้ว

ในยุคที่ความสนใจของผู้บริโภคถูกแบ่งกระจาย ความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งสำคัญ และ Algorithn ควบคุมการมองเห็นเนื้อหาอย่างเข้มข้น Metrics เหล่านี้ยิ่งแสดงผลลัพธ์ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากขึ้น แม้จะเป็นเช่นนั้น หลายองค์กรยังใช้ตัวเลขนี้อย่างต่อเนื่อง เหตุผลก็เพราะว่าวัดได้ง่าย เปรียบเทียบได้สะดวก และสามารถสื่อสารต่อผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ได้ลงมาดูได้ง่าย แต่ถ้าต้องการให้ “การตลาด” ขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรก็ต้องหยุด “การใช้ Metrics ที่ไม่ได้บ่งชี้อะไร” แล้วหันมาวัดสิ่งที่มีคุณค่าทางธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่ง Metrics ที่ไม่ควรใช้อีกต่อไปได้แก่

  1. Impressions เพราะจำนวนครั้งที่แสดงผลไม่ได้สะท้อนว่าผู้ชมเห็นเนื้อหาจริง หรือเข้าใจสารที่สื่อแต่อย่างใด ยิ่งในยุคที่ผู้บริโภคเจอเนื้อหาล้นหลาม จำนวนการแสดงผลไม่ได้หมายความว่าจะอ่านหรือสนใจ
  2. Click-Through Rate: CTR การคลิกไม่ได้แปลว่าผู้ชมมีความสนใจ ถ้าโฆษณาสื่อสารอย่างหนึ่ง แต่หน้า Landing Page กลับนำเสนออีกอย่าง CTR สูงที่ตามมาด้วย Bounce Rate สูง คือการสื่อสารที่ไม่ได้ผล
  3. Cost Per Click: CPC ต้นทุนการคลิกที่ต่ำอาจดูเหมือนประหยัด แต่หากกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่ผู้มีแนวโน้มที่จะซื้อ ก็ถือว่าสูญเปล่า การจ่ายเพื่อคลิกจากคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการจ่ายแพงกว่าอาจจะดีกว่า เมื่อเทียบกับการจ่ายแพงเพื่อให้ได้คลิกจากกลุ่มเป้าหมายคุณภาพ
  1. Marketing Qualified Leads: MQLs หลายองค์กรเข้าใจผิดว่า MQL คือศักยภาพของยอดขายที่ควรจะได้ ทั้งที่ความจริงแล้ว ผู้ที่กดหรือกรอกชื่อเอาไว้อาจไม่ได้สนใจในผลิตภัณฑ์หรือพร้อมตัดสินใจซื้อ เป็นเพียงการแสดงความอยากรู้ในเบื้องต้นเท่านั้น
  2. Lead Volume จำนวนที่มากขึ้นไม่ได้หมายถึงโอกาสทางธุรกิจที่ดีขึ้น ถ้าหากอัตราการปิดการขายต่ำลง Lead ปริมาณที่มากโดยไม่มีคุณภาพจะยิ่งทำให้กระบวนการขายช้าลงเพราะขายผิดคน
  3. Like และ Follow เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Metrics ที่ไม่จำเป็น จำนวน Like และ Follow ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับรายได้จริง โดยเฉพาะในบริบท B2B ที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ได้ตัดสินจากยอด Like ใน Social Media
  4. Bounce Rate การที่ผู้เข้าชมออกจากหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว อาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่จำเป็นต้องเป็นสัญญาณลบเสมอไป บางครั้งอาจได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างรวดเร็ว การใช้ตัวเลขนี้อย่างเดียวอาจจะทำให้การวิเคราะห์ผิดพลาด
  5. จำนวนหน้าที่เข้าชมต่อเซสชัน การที่ผู้ใช้งานดูหลายหน้าไม่ได้แปลว่าเขาสนใจ อาจหมายถึงเขาหาไม่เจอสิ่งที่ต้องการ การดูหลายหน้าโดยไม่ดำเนินการใด ๆ คือสัญญาณของประสบการณ์ที่ไม่ดี
  6. Average Time on Page แม้จะดูเหมือนผู้ใช้มีส่วนร่วม แต่ระยะเวลาที่อยู่บนหน้าอาจมาจากการเปิดค้างไว้หรือเกิดจากความสับสนก็ได้ “เวลา” ไม่ใช่ตัวชี้วัดของ “คุณค่า”
  7. Share of Voice  การเป็นเจ้าของพื้นที่การสนทนาไม่มีความหมาย หากไม่สามารถแปลงเป็นยอดขายได้
  8. Branded Search Volume จำนวนการค้นหาชื่อแบรนด์ที่สูงขึ้นอาจเกิดจากกระแสข่าว หรือแคมเปญที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณค่าทางธุรกิจ หากไม่พิจารณาบริบท ยอดค้นหาที่สูงก็ไม่ได้สะท้อนความต้องการซื้อ

ปัญหาไม่ใช่เพียงแค่ Metrics เหล่านี้ไร้ประโยชน์ แต่คือการที่ทีมเริ่มออกแบบกลยุทธ์เพื่อ “ตอบโจทย์ตัวเลข” มากกว่าการสร้าง “ผลลัพธ์ที่แท้จริง” ซึ่งควรใช้ Metrics นี้แทนเพื่อประสิทธิภาพที่ดีทางธุรกิจ

  1. Pipeline Contribution การวัดว่าโอกาสการขายที่มีอยู่ใน pipeline เกิดจากแคมเปญทางการตลาดเท่าใด ไม่ใช่แค่การรับรู้ แต่คือการปิดการขายที่จับต้องได้
  2. Sales Velocity การตลาดช่วยให้ปิดการขายจบเร็วขึ้นหรือไม่ ได้ลูกค้าตรงและลดอุปสรรคการขายหรือไม่
  3. Conversion to Opportunity อะไรที่สร้าง conversion ได้อย่างแท้จริง
  4. Brand Lift การทดสอบการจดจำแบรนด์ สะท้อนความแข็งแรงของแบรนด์
  5. Content-Assisted Revenue Content ไหนที่ช่วยให้ปิดการขายหรือช่วยให้ตัดสินใจซื้อ
  6. Marketing-Sourced Revenue ยอดขายที่สามารถเชื่อมโยงกลับไปยังแคมเปญการตลาดได้โดยตรง

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ