เวลาเราพูดถึงเทรนด์ เรามักจะพูดถึงกระแสพฤติกรรมที่คนนิยมทำต่อๆกันมาแล้วก็เลิกทำ แต่นั้นไม่ใช่ความหมายของเทรนด์ที่เราเหล่าเจ้าของกิจการต้องสนใจ เพราะจริงๆแล้ว “เทรนด์” ก็หนีไม่พ้น “ความคิด ความรู้สึก ความต้องการของผู้บริโภค” ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เห็นชัดเจนและอยู่ยั่งยืนกว่าค่านิยมชั่วคราว เป็นวิถีชีวิตที่เราค่อยๆติดตามมาเรื่อยๆ
ฉะนั้นหากอยากนำกิจการไปสู่กำไรก้อนโตและประสบความสำเร็จ กูรูผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทรนด์อย่าง “เดเนียล เลวีน” (Daniel Levine) ออกโรงบินตรงมาไทย เพื่อเตือนผู้ประกอบกิจการบ้านเราโดยเฉพาะว่าก่อนคิดจะเกาะเทรนด์ ต้องทำ 5 อย่างต่อไปนี้
1. ต้องเข้าใจและเห็นความสำคัญในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นบอกให้ทำ
อย่างรถ Volkvagen ที่รัฐบาลออกกฎหมายให้กิจการออกแบบและผลิตรถรักษ์ธรรมชาติ Volkvagen จึงทุ่มทุนทดสอบรถที่ติดตั้งมาตรวัดการปล่อยของเสียจากรถนั้นเพียงแค่ให้ผ่านกฎหมาย แต่เมื่อคนมาลองขับรถ Volkvagen แล้วพบว่ารถก็ยังมีสภาพไม่ได้ต่างจากรถปรกติธรรมดา ทำให้รถ Volkvagen ขาดความน่าเชื่อถือ
ฉะนั้นการตามเทรนด์ไหนก็ตาม ต้องมั่นใจว่าเราเข้าใจเทรนด์นั้นจริงๆ เห็นความสำคัญของเทรนด์นั้น ไม่ใช่ทำตามเทรนด์เพราะมีคนบอกให้เราทำ หรือคนอื่นพูดถึงเทรนด์นั้น
httpv://www.youtube.com/watch?v=CQ4irwe3ZDk
2. หัดใช้หัวคิดสร้างสรรค์แก้ปัญหาบ้าง
แค่รู้จักเทรนด์อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักหาทางใช้ทักษะและความสามารถของกิจการตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่เป็นเทรนด์ด้วย
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ลองคิดว่าเราเป็นเจ้าของกิจการดิสโก้ เทค มีลูกค้าที่เข้าร้านเราเป็นประจำและก็ใส่ใจเทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม เราจะทำอย่างไรให้ทำรายได้จากบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไปพร้อมกัน?
และนี่คือคำตอบ
httpv://www.youtube.com/watch?v=zf5fihc2GOY
ซึ่งเจ้าพื้นเต้นติดสปริงปั๊มชาร์ตแบตเตอรี่ก็ใช้กันในประเทศที่ใส่ใจเทนรด์สีเขียวอยู่แล้ว อย่าง Club What ของฮอล์แลนด์ก็นำพื้นเต้นมาใช้เพิ่มไฟฟ้าในร้านเช่นกัน ฉะนั้นไม่ว่ากิจการของเราจะนำหรือเกาะกระแสเทรนด์ ต้องมี “ของ” ให้ผู้บริโภคร้อง “ว้าว” ออกใช้ของเรา อยากใช้บริการเรา
ไม่งั้นก็อย่าทำดีกว่า
3. สร้างสไตล์ไม่ซ้ำใคร
เพราะผู้บริโภคก็อยากได้ของที่ทำเพื่อตัวเอง และบริการที่ออกแบบเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ กิจการต้องงัดเทคนิคและแนวคิดที่ทำให้ผู้บริโภค “แต่ละคน” รู้สึกพิเศษขึ้นมาในยุคที่ผู้บริโภคมีความควาดหวังในคุณภาพและความเร็วของสินค้าและบริการที่สูงขึ้นทุกปี ฉะนั้นกิจการจึงไม่สามารถปฏิบัติกับผู้บริโภคแต่ละรายด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกันได้อีกแล้ว
อย่าง Nike ผู้ผลิตและออกแบบรองเท้าชั้นนำของโลกได้เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถออกแบบรองเท้าที่เหมาะกับแต่ละคนได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ วิธีสวมใส่ สี ไม่เว้นแต่พื้นรองเท้า และสั่งซื้อได้เลย
เรียกได้ว่า Nike ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่อยากแสดงความเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่
httpv://www.youtube.com/watch?v=_rBCVF9gcog
4. ต้อง “เชื่อมต่อ” ผู้คนเข้าด้วยกัน
เรามักจะนึกถึงอินเตอร์เน็ต หรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ให้ผู้คนได้เชื่อมต่อ พูดคุยและแบ่งปันเนื้อหากัน กิจการไม่สามารถควบคุมเนื้อหาและสารที่ต้องการสื่อได้อีกแล้ว ทำให้กิจการต้องหาทางเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาและวิถีชีวิตของผู้บริโภคในที่สุด
แต่หลายๆครั้งการ “เชื่อมต่อ” ผู้คนเข้าด้วยกัน อาจไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเสมอไป
ลองดูร้านกาแฟในแมนฮัตตันแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค ผู้คนเข้ามาดื่มกาแฟในตอนเช้า มีพนักงานคอยบริการและพูดคุยกับลูกค้าที่เข้าในร้าน แต่ที่น่าสนใจคือ พนักงานบริการสร้างความสนิทสนมกับลูกค้าแล้วถามถึงนิสัยใจคอความชอบของลูกค้าอยู่เสมอ พนักงานบริการก็จะเก็บประวัติไว้ เพื่อจับคู่ที่เหมาะสม และแนะนำให้รู้จักกันในร้านต่อไป
5. ทำแล้วไม่ฉลาด อย่าทำดีกว่า
ผู้บริโภคนับวันก็สนใจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเซลฟี่ ไปจนกระทั่งตรวจวัดสุขภาพของตัวเองผ่านสมาร์ทดีไวซ์อย่างอัตราการเต้นของหัวใจ และแคลลอรี่ที่ตัวเอง ไม่เว้นแต่การวินิจฉัยโรคก่อนที่จะไปพบหมอ ทำให้กิจการต้องรีบปรับตัว ออกสินค้าและบริการที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับ “ตัวเอง” ได้มากขึ้น รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น และพึ่งพาคนอื่นได้น้อยลง
สุดท้าย เดเนียลได้ทิ้งท้ายคำเตือนถึงจุดอ่อนของกิจการในไทยหลายๆเจ้าที่ไม่ค่อยได้เปิดโอกาสให้คิดต่างและสร้างสรรค์มากนัก ขออย่าเอาแต่ทำงานในสิ่งที่ตัวเอารู้แค่นั้น บางครั้งเราต้องถอยจากชีวิตทำงานปรกติและมาดูภาพรวมบ้าง
มิฉะนั้นกิจการจะเป็นอุปสรรคในการตอบโจทย์เทรนด์เสียเอง
แหล่งที่มา
สัมภาษณ์พิเศษ “เดเนียล เลวีน” ก่อนงาน “Master Workshop with Global Trend Expert” วันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 ที M Academy
