นักคิดกับนักทำนั้นเป็นกลุ่มคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าก่อนจะเป็นนักทำคุณต้องเป็นนักคิดที่ละเอียดถี่ถ้วนมาก่อน ปัญหาของคนที่หยุดเพียงการเป็นนักคิดคือพวกเขาเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการคิดและคิด จากนั้นก็เสียเวลาในการแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาจนหมดพลังงานไปสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
จุดหนึ่งที่สำคัญคือการอ่านบรรดา how to ทั้งหลาย (ซึ่งก็รวมถึงข่าวนี้ด้วย) จะไม่เกิดผลดีอะไรกับคุณเลยหากคุณยังนั่งคิดอยู่บนโต๊ะจากนั้นก็เก็บของกลับบ้านแล้วนอนหลับ เพราะคู่มือทั้งหลายจะเริ่มแสดงพลังของมันได้ก็ต่อเมื่อคุณโดดออกไปทำอะไรสักอย่างแล้วเกิดความผิดพลาดจึงค่อยหันกลับมา “ปรึกษา” คู่มือเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาตรงหน้า
แล้วนักคิดกับนักทำแตกต่างกันอย่างไร? ลองดูข้อสังเกตต่อไปนี้ดีกว่าครับ
นักทำทำทุกอย่างเพื่อให้งานสำเร็จ
นักทำที่ยิ่งใหญ่มักจะโฟกัสกับงานและทำทุกวิถีทางเพื่อให้งานสำเร็จ เขาจะไม่ทำหรือคิดเหมือนพนักงานเงินเดือนที่ตะโกนออกมาว่า “งานเยอะเกินไป” หรือ “มันทำไม่ได้หรอก” ซึ่งเหตุผลแฝงที่มนุษย์เงินเดือนไม่บอกออกมาตรงๆ ก็คือ “เงินเดือนเท่านี้ไม่คุ้มกับที่ผมต้องทำหรอก”
นักทำไม่รอคอยโอกาส
ดูเหมือนเป็นคำพูดเก่าๆ แต่มันจริงทีเดียว ทางเดียวที่คุณจะเห็นหนทางใหม่ๆ ก็คือการเดินออกไปทำอะไรสักอย่าง การนั่งอยู่หลังจอคอมฯ และหวังว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่มีวันเป็นจริง
นักทำไม่เชื่อในโลกสมบูรณ์แบบ
นักทำจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงและรู้จักตัวเองอย่างดี พวกเขาสามารถวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของตัวเอง หาทางส่งเสริมจุดแข็งขณะที่ตามหาบุคลากรที่จะช่วยปิดจุดอ่อนของตัวเองได้
นักทำเดินตามหนทางที่พวกเขาลิขิต
จำไว้ว่านักทำจะไม่ฟังเสียงจากคนอื่น เพราะถ้าพวกเขาจะเริ่มสิ่งใหม่อันน่าตื่นตะลึง ใครจะไปคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นไปได้จริง ลองคิดในมุมกลับว่าหากสตีฟ จ็อบส์ เดินเร่ถามความเห็นผู้คนว่าพวกเขาต้องการโทรศัพท์ที่ไม่มีปุ่มกดหรือเปล่า ป่านนี้โลกของเราก็ยังคงใช้ฟีเจอร์โฟนกันอยู่แน่ๆ
นักทำจะฟังแค่คนที่ฉลาดและพวกเขาเชื่อถือ
อย่าคิดว่าพวกเขาไม่ฟังใครแต่เขาเลือกคนที่จะฟังเท่านั้น นักคิดมักอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจและการพัฒนาตนเองจากกูรูที่โด่งดังนอกจากนั้นพวกเขาจะร่ายล้อมตัวเองด้วยคนฉลาดเพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ
นักทำมีวินัยในการไปถึงเป้าหมายของตนเอง
นักทำจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร้อยเปอร์เซนต์จากนั้นค่อยหาว่ากิจกรรมอะไรในแต่ล่ะวันที่จะทำให้สำเร็จเป้าหมายนั้น หากคุณมีเป้าหมายที่จะมีความสุขและมีเงินเก็บ ก็เริ่มเก็บเงินเพิ่มและประหยัดค่าใช้จ่ายทีล่ะนิดเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายของคุณทีล่ะนิด
นักทำไม่โทษคนอื่น
การบ่น การแก้ตัว และโทษคนอื่นเป็นนิสัยของคนที่จะตกเป็นผู้แพ้ของสังคม พวกเขาต้องทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลงและอนุญาตให้ตัวเองทำผิดซ้ำต่อไปได้ในอนาคต ไม่มีใครทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นหรือเลวลงได้หากไม่ใช่ตัวคุณอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาทำ
นักทำรู้ว่าธุรกิจคือธุรกิจ
กลยุทธ์ซีอีโอมาร์เกตติ้งเป็นดาบสองคมที่ผู้ประกอบการหลายคนยังไม่ทราบ วันหนึ่งแบรนด์ของคุณรุ่งเรืองและคุณเหมือนเป็นเซเลบในธุรกิจแต่หากวันใดคุณเกิดก้าวพลาดเพียงเล็กน้อย ธุรกิจของคุณก็จะล่มจมไปพร้อมกับชื่อเสียงของตัวคุณ ดังนั้น การนำชีวิตส่วนตัวผูกกับธุรกิจเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง