เม็ดเงินโฆษณาซึมถึง 2009

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

สถานการณ์เศรษฐกิจยังคงไม่เป็นใจ บรรดามีเดียเอเยนซีต่างปรับลดคาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาในตลาดสหรัฐฯปีนี้กันใหม่หมด เซนิธฯประเมินเติบโตไม่ถึง 2% และคาดส่งผลยาวถึงปี 2009 ขณะเดียวกันด้านโฆษณาออนไลน์  IAB ก็ระบุว่า ปีนี้อาจได้เห็นโฆษณาออนไลน์เติบโตด้วยตัวเลขไม่ถึง 2 หลักหลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นยุครุ่งโรจน์เติบโตระดับ 20%ขึ้นไปมาตลอด

ขณะที่เศรษฐกิจยังคงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เซนิธออพติมีเดียบริษัทเอเยนซีด้านสื่อได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาในสหรัฐฯลงจากเดิมถึงครึ่งหนึ่ง โดยคาดว่าการเติบโตในปีนี้จะอยู่ที่ 1.8% จากเดิมที่เพิ่งประมาณการไปเมื่อ 3 เดือนก่อนว่าจะโตที่  3.5%

ไม่เพียงเท่านั้น เซนิธฯยังชี้ต่อว่าสภาพการณ์ในปีหน้าน่าจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ โดยคาดว่าการเติบโตในปี 2009 น่าจะอยู่ที่เพียง 0.9% ซึ่งลดลงจากที่เคยรายงานไว้ในเชิงบวกเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่าน่าจะอยู่ที่ 2.7% 

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสหรัฐฯเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เซนิธออพติมีเดียตัดตัวเลขคำทำนายการเติบโตของเม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาทั่วโลกในปี 2008 ลงอยู่ที่เพียง 4.3% จากที่เคยคาดไว้ที่ 6.6% ในรายงานฉบับเดือนมิถุนายน  และเซนิธฯยังมองว่าสถานการณ์ในปี 2009 ยังไม่น่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงลดตัวเลขการเติบโตลงเป็น 4% จากที่ทำนายไว้ 6%    

ตลาดกำลังพัฒนายังแกร่ง

สำหรับในภูมิภาคอื่นๆ  เซนิธออพติมีเดียทำนายว่า ตลาดโฆษณาในละตินอเมริกาน่าจะโตขึ้นประมาณ 10%ต่อปี และในเอเชียประมาณ 6.6% ในปีนี้ และอีก 5.2% ในปีหน้า

ตลอด 2-3 ปีข้างหน้านี้ เซนิธฯชี้ว่า 65%ของตัวเลขการเติบโตของเม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาทั่วโลกจะมาจากตลาดกำลังพัฒนาซึ่งเซนิธฯระบุไว้ในรายงานการคาดการณ์ประจำไตรมาสว่า ได้แก่ ทุกพื้นที่ทั่วโลก ยกเว้น อเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น โดยจะมีค่าใช้จ่ายในปี 2010 คิดเป็น 32%ของเม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 28%ในปี 2007 

จากการเติบโตเช่นนั้น คาดว่าจะส่งผลให้รัสเซียและบราซิลติดอันดับตลาดโฆษณาท็อป 10 ของโลกภายในปี 2010 โดยอยู่ในอันดับที่ 6 และ 8 ตามลำดับ  โดยเลื่อนขึ้นมาจากอันดับที่ 13 และ 11 ในปี 2007  (บราซิลและรัสเซีย ตามด้วยอินเดียและจีน เป็นที่รู้จักกันในนามกลุ่มประเทศ BRIC และทุกวันนี้ จีนเป็นตลาดโฆษณาอันดับ 5 ของโลก)          

เซนิธออพติมีเดียรายงานในงานสำรวจซึ่งจัดทำขึ้นโดยบิซิเนส วีก ว่า จากคำถามถึงผู้บริโภคในสหรัฐฯว่า ถ้าจำเป็นต้องตัดลดค่าใช้จ่ายพวกเขาจะตัดการใช้จ่ายอะไรออกไปบ้าง  ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 56% ระบุว่าพวกเขาจะใช้จ่ายเพื่อสินค้าหรูราคาแพงน้อยลง  อีก 50%บอกว่าพวกเขาจะตัดลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางท่องเที่ยว และ 39%ลดการใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง  นั่นส่งผลให้กลุ่มธุรกิจสินค้าเหล่านี้มีแนวโน้มตัดลดงบประมาณโฆษณาของพวกเขา

ทั้งนี้  มีผู้ตอบแบบสำรวจค่อนข้างน้อยกว่ามากที่กล่าวว่า พวกเขาจะตัดลดค่าใช้จ่ายเพื่อสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้าน (23%), เสื้อผ้า (15%) และสินค้าจำเป็นอื่นๆ (6%)  

โฆษณาออนไลน์อาจโตต่ำ 10

ข้อมูลสถิติล่าสุดจากสำนักโฆษณาอินเตอร์แอ็กทีฟ (Interactive Advertising Bureau : IAB) พบว่ารายได้ด้านโฆษณาออนไลน์ในสหรัฐฯระหว่างช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปี 2008 หยุดชะงักลง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวครั้งใหญ่ในช่วงกลางปีนี้

เม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาออนไลน์ในไตรมาสที่ 2 หยุดอยู่ที่ 5.745 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 12.8% แต่ลดลงเล็กน้อยจากในไตรมาสแรกของปี 2008 ซึ่งอยู่ที่ 5.765 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ    

รายได้ด้านโฆษณาออนไลน์ประจำไตรมาสของปี 2008 นี้ยังไปไม่ถึงจุดที่สูงสุด ซึ่งอยู่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2007 และถ้าเทรนด์หยุดชะงักลง การเติบโตเป็นเลขสองหลักของเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมาคงถึงจุดสิ้นสุดในปีนี้

จากตัวเลขรายรับในช่วง 6 เดือนแรก นายแรนดอลล์ โรเธนเบิร์ก ประธาน IAB ยังคงเชื่อมั่นว่าเม็ดเงินใช้จ่ายผ่านโฆษณาออนไลน์จะยังคงทะลุ 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนั่นหมายถึงการเติบโตเพิ่มขึ้น 8.5% จากปี 2007  และตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินใช้จ่ายในสองไตรมาสแรกคิดเป็น 53%ของเม็ดเงินใช้จ่ายผ่านโฆษณาออนไลน์ตลอดทั้งปี      

ตัวเลขล่าสุดจาก IAB ตามมาพร้อมกับที่นายดั๊ก แอนมุธ นักวิเคราะห์จากเลห์แมน/บาร์เคลย์เปลี่ยนตัวเลขคำทำนายเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ปี 2008 เป็น 2.479 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่เคยคาดไว้ที่ 2.617 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ครั้งสุดท้ายที่เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ในสหรัฐฯไม่ได้เติบโตด้วยตัวเลขสองหลัก คือ ช่วงปลายวิกฤตภาวะถดถอยของตลาดโฆษณาในปี 2002 เมื่อเม็ดเงินใช้จ่ายด้านโฆษณาออนไลน์หดลดจากปีก่อนหน้านั้น 16%  ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตลาดโฆษณาออนไลน์เติบโตขึ้น 21% ในปี 2003, 33% ในปี 2004, 30% ในปี 2005, 35% ในปี 2006 และ 26%ในปี 2007

Source: Business Thai


  •  
  •  
  •  
  •  
  •