เราได้ยินชื่อและรู้จักผลงานของ Infographic Thailand มานาน กับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบภาพกราฟฟิคที่สวยงามทำให้การเสพข้อมูลง่ายและเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งต้องถือว่าทีมงานของ Infographic Thailand ขึ้นชั้นแถวหน้าของเมืองไทยไปแล้ว นอกจากนี้ เรายังรู้จักเว็บไซต์ AomMoney.com (ออมมันนี่) เว็บไซต์ที่รวบรวมความรู้ข้อมูลทางด้านการเงินมากมาย เต็มไปด้วยผู้รู้และกูรูที่จะมาแบ่งปันความรู้ให้กับทั้งนักลงทุนและผู้ที่เริ่มต้นเรียนรู้การออมเงินและการลงทุน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้รวมอยู่ในบ้านหลังใหญ่เดียวกันคือ LIKEME Agency เอเจนซี่เลือดใหม่ของคนรุ่นใหม่กับความมุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดกับวงการการตลาด
ความน่าสนใจของ LIKEME Agency ไม่ได้อยู่ที่แค่สร้างคอนเทนต์อินโฟกราฟฟิก หรือมีกูรูด้านการเงินอยู่ในมือเท่านั้น แต่เป็นความเฉียบคมที่สามารถมองเห็นช่องว่างทางการตลาดบางอย่าง ที่สำคัญด้วยพื้นฐานของความเป็น Startupมาก่อน ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้อย่างว่องไว และสร้างสรรค์กลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครได้
ดังนั้น MarketingOops! จึงได้ขอโอกาสเข้ามาพูดคุยกับ เดียร์-ธนโชติ วิสุทธิสมาน Chief Executive Officer ซีอีโอหนุ่มวัย 27 ปี แต่สามารถตั้งบริษัทเป็นของตัวเองได้และมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และเดียร์จะมาเป็นผู้เล่าว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับวงการเอเจนซี่ได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นที่มาที่ไปของการก่อตั้ง LIKEME Agency
อย่างที่เกริ่นตอนต้นว่าเราได้ห็นความสำเร็จของทั้ง Infographic Thailand และ AomMoney.com กันดีอยู่แล้ว แต่ทั้งสองพาร์ทนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบ้านใหญ่ LIKEME Agency ที่ปัจจุบันนี้ก้าวมาเป็น Full Service Agency อย่างเต็มตัว นั่นเป็นเพราะเห็นว่ายังมีช่องว่างบางอย่างที่เอเจนซี่ส่วนใหญ่ไม่มี ตรงจุดนี้ เดียร์ ได้อธิบายว่า เป็นเพราะเราได้เรียนรู้จากการทำงาน Visual Content มาตลอดว่าลูกค้าต้องการอะไรที่มันครบวงจร ที่สามารถสอดคล้องกับการทำงานในแต่ละส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำคอนเทนต์ที่ดีมันจะต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการวางกลยุทธ์
“แต่บางทีกลยุทธ์ที่วางมาหาเรามันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก หรือมองว่าอินโฟกราฟฟิกมันแค่พาร์ทเล็กๆ เป็นส่วนเสริมที่ไม่สำคัญ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาว่ามันออกมาไม่เวิร์ค เพราะผิดตั้งแต่ตอนเริ่มวางกลยุทธ์แล้ว ดังนั้น เราเลยมาคิดว่าอยากจะลงเข้าไปจับตั้งแต่จุดแรกให้กับลูกค้าเลย เพื่อดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการวางกลยุทธ์ การผลิตคอนเทนต์ และการดิสทริบิวชั่น”
ในมุมมอง LIKEME แคมเปญที่ดีควรจะเป็นอย่างไร
ซีอีโอหนุ่ม ให้ทัศนะว่า ในการทำแคมเปญที่ดีตนคิดว่าเราควรจะหยุดให้ความสำคัญเรื่องยอดไลค์ ยอดแชร์กันได้แล้ว แต่เราควรจะทำเป็นแบบระยะยาวหรือให้เกิดความยั่งยืนดีกว่าและเน้นการใช้กลยุทธ์ที่มากขึ้น เพราะทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะคุยกันแต่เรื่องไวรัลคลิปจะทำแบบไหน หรือจะทำยังไงให้ได้ 1 ล้านวิว ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญคือถ้าคุณไม่คิดการตลาดให้มันยั่งยืน คุณก็จะสู้กับเขาไม่ได้
“ดังนั้น กลยุทธ์ที่สำคัญของผมเลยคือต้องทำความเข้าใจคอนเทนต์กันใหม่ ต้อง educate ตลาดและลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ว่าคอนเทนต์ที่ดีมันควรมีคุณค่าให้กับคนเสพ ที่เราเปิดตรงนี้ก็เพราะเราเชื่อว่ายังมีช่องว่างที่หายไป ซึ่งจุดนี้ลูกค้าจะได้อะไรในเวย์ใหม่ๆ จากเราแน่นอน แม้ว่าวิธีเดิมๆ มันอาจจะได้ความว้าว มันอาจจะได้ยอดไลค์ยอดแชร์ แต่ในเวย์ใหม่ของเราตรงนี้จะทำให้เกิดความเติบโตในแบบที่ยั่งยืนได้มากกว่า”
ความยั่งยืนต้องเริ่มจากภายในบ้าน
และเพื่อการสร้างสรรค์แคมเปญที่ยั่งยืนในแบบของ LIKEME เดียร์จึงอธิบายเสริมว่า ก่อนจะไปสร้างความยั่งยืนให้กับคนอื่น เอเจนซี่ต้องมีความยั่งยืนภายในขององค์กรและบุคคลกรเสียก่อนดังนั้น การสร้างทีมงานให้แข็งแกร่ง มีความรู้ มี know-how เท่าทันสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จึงได้จัดการอบรมกันภายในบริษัทให้กับ ทีมงานอย่างสม่ำเสมอ
“การจะสร้างเอเจนซี่ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะทำให้โตมันยาก ผมก็เลยจะเน้นการประดับอาวุธที่ยั่งยืนที่สุดให้คนในองค์กร ซึ่งก็คือความรู้ทุกวันนี้สมมติวันทำงาน 20 วัน เราอาจจะจัดตารางการอบรม 10 วัน เพื่อสอนเรื่องคอนเทนท์และเทคโนโลยี สอนคิด ทำ workshop ตามเทรนด์ว่าเป็นไง เทคโนโลยีเราก็สอนว่าตอนนี้มีนวัตกรรมอะไรไปถึงไหนแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้มันส่งผลดีไปถึงขั้นตอนการทำงานของในทุกตำแหน่งแน่นอน เพราะมันทำให้ทีมสื่อสาร วางแผน และเข้าใจกันมากขึ้น เหมือนกับครีเอทีฟต้องรู้ว่าแพลนเนอร์ต้องการอะไร และแพลนเนอร์ต้องเข้าใจวิธีคิดของครีเอทีฟด้วย งานมันถึงจะออกมาดี ออกมาคล้องกัน งานลูกค้าก็จะออกมาแบบมีคุณภาพ”
จุดแข็งสำคัญของ LIKEME Agency คืออะไร
ผู้บริหารหนุ่ม อธิบายว่า จุดสำคัญเลยคือเรามีแนวความคิดของการเป็น Startup คือการที่ตื่นตัวพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ และปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเข้าใจว่าใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้มันถูกที่ ถูกเวลา
นอกจากนี้ เราจะเน้นการทำงานที่ควบคู่กันระหว่างคอนเทนต์กับเทคโนโลยีเพราะเรามองว่า คอนเทนต์ มันคือ Storytelling ในขณะที่ เทคโนโลยี มันคือ User Experience แล้วถ้าเราผสานทั้งสองเรื่องนี้เข้าหากันได้เราก็จะได้เรื่องราวที่ดีที่สุด
“บ่อยครั้งที่เห็นงาน Campaign ลงทุนตั้งเยอะ แต่ทำแค่ครั้งเดียวจบ เพราะเค้าคิดแต่ในด้าน creative ทำยังไงให้เด่น ให้แปลก ให้ได้รางวัล ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น ต้องคิดถึงการครองใจลูกค้าของแบรนด์ในระยะยาวด้วย ซึ่งสมัยนี้ต้องเก่งให้ครบทั้ง Technology, User Experience, Marketing และ Creative ทุกอย่างนี้ต้องผสานเข้าด้วยกัน”
บริการของ LIKEME Agency ทำอะไรบ้าง
เดียร์ บอกว่าเรามีสามอย่างที่เราเน้นหลักๆ ได้แก่ 1.ด้านผลิตคอนเทนต์ 2.ด้านมีเดีย และ 3.ด้านเทคโนโลยี
1. ด้านคอนเทนต์ ทุกวันนี้คอนเทนต์มันเพิ่มขึ้นแบบมโหฬารทุกๆ วัน แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ยุคของการทำคอนเทนต์เยอะๆ แล้ว แต่มันคือยุคทำ ‘คอนเทนต์คุณภาพ’ และที่สำคัญเลยก็คือจะต้องผลิตคอนเทนต์ในแบบ ’ออริจินัล คอนเทนต์’ ด้วย ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ จะเห็นได้ทั้งจาก Infographic Thailand และ AomMoney.com เราโฟกัสทั้งคอนเทนต์ที่เป็นออริจินัลและคอนเทนต์คุณภาพทั้งนั้น
2. ด้านมีเดีย เป็นเรื่องของการวางกลยุทธ์และการเลือกช่องทางสื่อที่เหมาะที่สุด จากการที่เราทำ AomMoney.com ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ที่มีชื่อเสียงด้านการเงิน ทำให้เรารู้ว่าควรจะทำงานกับสื่อออนไลน์แบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ ทั้งวิธีคิดและการผลิตคอนเทนต์
“มุมมองผมคือการใช้สื่อออนไลน์ไม่ใช่แค่การสร้างช่องทางโปรโมต แต่มันคือการสร้างครีเอทีฟคอนเทนต์ที่มีคุณค่าแก่การอ่าน ดู หรือ ฟัง ซึ่งคอนเทนต์มันควรรันได้ด้วยตัวเองมันควรเป็น Native Advertising”
3. ด้านเทคโนโลยีสำหรับส่วนนี้เราเปิดแบรนด์ 1,000X (วันทาวน์ซัน เอ็กซ์) ขึ้นมาด้วยความที่พื้นฐานบริษัทเราเป็นเทคโนโลยีมาแต่ต้น ก็อยากกลับไปขายเทคโนโลยีอย่างจริงจังอีกครั้งนึง โดยคอนเซ็ปต์ของมันคือ เราอยากทำสิ่งที่มีอิมแพคกับคนจำนวนมาก หลายเท่าพันเท่า ซึ่งทีมที่ทำในส่วนนี้จะเป็นทีมที่คอย support project เกี่ยวกับเทคโนโลยีของลูกค้าโดยตรง
“อย่างช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเหตุการณ์การสูญเสีย ในหลวง ร.๙ เราก็ได้ทำแคมเปญหนึ่งขึ้นมา ชื่อ King9moment.com เป็นเว็บไซต์ที่นำเอาคอนเทนท์และสตอรี่เทลลิ่งหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับความทรงจำของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาทำในรูปแบบอินโฟกราฟฟิกแบบอินเทอร์แอคทีฟ ซึ่งมี VR (Visual Reality) ด้วย เป็นการนำเอาคอนเทนต์ที่เรามีรวบรวมมาแล้วนำเสนอผ่านเทคโนโลยีที่เราเชี่ยวชาญนั่นเอง เป็นหนึ่งในโมเดลที่เราจะใช้นำเสนอลูกค้าให้ดูว่าการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับสตอรรี่เทลลิ่งได้นั้นมันเป็นอย่างไร”
สรุปแล้วคอนเทนต์ vs เทคโนโลยี ต้องคิดอะไรก่อน
เดียร์ ตอบอย่างมั่นใจว่า เราก็ต้องเข้าใจว่าคอนซูมเมอร์ชอบคอนเทนต์แบบไหนก่อน ทุกวันนี้เมสเสจที่เราส่งไปไม่อาจจะบังคับให้ผู้ชมดูได้เหมือนสมัยก่อนที่ช่องทางการสื่อสารมีเพียงแค่ทีวี ดังนั้น เราจะต้องทำคอนเทนต์ให้ไปอยู่ในมุมที่คนอยากจะอ่าน เนื้อหาที่คนอ่านโดยที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ซึ่งเป็นวิธีในการสร้างคอนเทนท์ให้มีคุณค่านั่นเอง
“แน่นอน Content is King เพราะว่าคอนเทนท์มันคือ Storytelling พอใส่เทคโนโลยีเข้าไปมันก็คือ user experience เพราะการใส่เทคโนโลยีเข้ามามันก็ทำให้เราเล่าเรื่องได้ดีขึ้น เช่น เราเล่าเรื่องได้แค่นี้ แต่พอใส่แว่น VR เข้าไป ก็ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างมากขึ้น ซึ่ง LIKEME เราจะผสานทุกอย่างให้เข้ากันอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว”
ด้วยจุดเริ่มต้นจากความเป็น Visual Content Creator และ Tech Startup ผนวกกับความเข้าใจในพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ทำให้มุมมองการทำแคมเปญในแบบ LIKEME น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน น่าจะเป็นอีกหนึ่งเอเจนซี่ที่เข้ามาผลักดันวงการการตลาดและโฆษณาไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ ได้ ดังนั้น อาจจะพอบอกได้ว่า LIKEME Agency เป็นฟูลเซอร์วิส เอเจนซี่ ที่น่าจะมาแรงในปีนี้อย่างแน่นอน