“ความงามเป็นสิ่งที่ผูกติดกับชีวิตคน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนยังให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ประกอบกับขนาดตลาดความงามในไทยยังมีขนาดเล็กมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ไปไกลกว่าเราเยอะ ตลาดความงามในไทยจึงยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก…”
นั่นคือ คำกล่าวของ คุณหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด ฉายภาพโอกาสตลาดความงามในไทย
ตลาดความงามมูลค่า 2.81 แสนล้านบาท โต 10.4%
ตลาดความงามไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าระบุว่า ปี 2567 ตลาดความงามไทย มีมูลค่าสูงถึง 2.81 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 10.4%
ปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องมาจากช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ยังโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจ ไม่มีผลกระทบต่อตลาดความงามมากนัก
“ธุรกิจความงามมีความเฉพาะตัวที่น่าสนใจ เราเคยคิดว่าเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ลูกค้าจะซื้อของราคาถูกลงไหม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย อย่าง SKU ที่ขายดีของ EVEANDBOY คือ น้ำหอม ขวดละ 7,000 บาท เพราะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์ และมีเรื่องของ Emotional ในการซื้อ บางครั้งลูกค้าอยากใช้จ่าย เพราะรู้สึกว่าแบรนด์นั้น relate กับตัวเอง รู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้” คุณหิรัญ ฉายภาพตลาดความงามในไทยที่เติบโตสวนแนวโน้มเศรษฐกิจ
EVEANDBOY เดินหน้า 7 กลยุทธ์สร้างการเติบโตต่อเนื่อง
เมื่อพูดถึงตลาดความงามในประเทศไทย แน่นอนว่า Beauty Store รายใหญ่อย่าง “EVEANDBOY” (อีฟแอนด์บอย) เป็นหนึ่งในเชนค้าปลีกสินค้าความงามที่ผู้บริโภคไทยนิยมมาช้อป
สำหรับภาพรวมธุรกิจ EVEANDBOY ในปี 2567 พบว่า มีการเติบโตมากถึง 40% เป็นมูลค่า 7,000 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- กลุ่มเครื่องสำอาง (Makeup) โตมากถึง 45%
- ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skincare) 40%
- กลุ่มน้ำหอม (Fragrance) 35%
ขณะที่ในปี 2568 ตั้งเป้าเติบโตจากปีก่อนหน้า 30% และไตรมาสแรกของปี 2568 มีการเติบโตเป็นไปตามเป้าที่ 30% โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต EVEANDBOY อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 20 ปี และในปีนี้ มาจาก 7 กลยุทธ์ ประกอบด้วย
1. เป็น Beauty Store ที่มีความหลากหลายของแบรนด์ และหมวดหมู่สินค้า ทั้งยังเป็น Official Partner กับแบรนด์ต่างๆ จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
2. ความหลากหลายของ Price Point ราคาเร่ิมต้น 9 บาท ไปจนถึงราคาหลักหมื่น
3. Exclusive Brand และ Exclusive Product มีขายเฉพาะที่ EVEANDBOY เท่านั้น ทั้ง International Brand อย่าง Kylie Cosmetics ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ได้ต่อสัญญาในฐานะ Exclusive Brand ต่อเนื่อง, Lilybyred, Tirtir, Cancer Council และแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งให้กับ EVEANDBOY และเป็นจุดหมายปลายทางของลูกค้าเมื่อนึกถึงสินค้าในกระแส
4. ขยายสาขาต่อเนื่อง ปัจจุบันมี 45 สาขา แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 26 สาขา และต่างจังหวัด 19 สาขา ตั้งเป้าปี 2568 มีสาขาทั้งหมด 65 สาขา ด้วยงบลงทุนด้านสาขาปีนี้ 600 ล้านบาท และภายในปี 2571 จะมีสาขาทั้งหมด 140 สาขา ครอบคลุมทั้งเปิดรูปแบบ Stand Alone, ศูนย์การค้า, Community Mall
สำหรับโลเกชันที่เลือกเปิดต้องมีศักยภาพ เป็น Strategic Location รวมถึงขยายฐานลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น เช่น EmSphere, Platinum, Terminal 21 Asok, Siam Premium Outlet จากปัจจุบันฐานลูกค้ากลุ่มหลักเป็นคนไทย 90% ควบคู่กับการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น
โดยเฉลี่ยขนาดพื้นที่สาขาของ EVEANDBOY อยู่ที่ประมาณ 300 – 500 ตารางเมตรต่อสาขา และมี Flagship Store ใหญ่สุดขนาด 2,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้เตรียมเปิด Flagship Store ที่ต่างจังหวัด ขนาด 800 ตารางเมตร
5. Loyalty Program “Ebbie Card” อีกหนึ่งกลยุทธ์ช่วยให้ EVEANDBOY รักษาฐานลูกค้าเก่า และขยายฐานสมาชิกใหม่ โดยปัจจุบันมีสมาชิก 2.7 ล้านราย ตั้งเป้าเพิ่ม 40% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของยอดขาย
6. เพิ่มสัดส่วนบิวตี้แบรนด์ไทย จากแนวโน้มความนิยมผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเครื่องสำอางแบรนด์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์จากของผู้ประกอบการ SME “EVEANDBOY” มองเห็นเทรนด์ดังกล่าว จึงได้เพิ่มสัดส่วนบิวตี้แบรนด์ไทย 20%
การเติบโตของบิวตี้แบรนด์ไทย มาจากทั้งในฝั่ง Supply คือ แบรนด์ไทยมีความแข็งแรงขึ้น ทั้งคุณภาพสินค้า การตลาดและการสื่อสาร ช่องทางการขาย ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างยอดขาย ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีหลายบิวตี้แบรนด์ไทยที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายแตะระดับพันล้านบาท
ประกอบกับในฝั่ง Demand พบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่ติดในแบรนด์เดิม แต่ชอบทดลองใช้แบรนด์ใหม่ ซึ่งการพิจารณาซื้อสินค้าของผู้บริโภคทุกวันนี้ จะดูส่วนผสมเป็นหลัก จึงทำให้แบรนด์ไทยที่มีส่วนผสมที่ผู้บริโภคต้องการ และสื่อสารอย่างชัดเจน สามารถชนะใจผู้บริโภคได้ในที่สุด
7. การปรับตัว – ความรวดเร็ว – ความเข้าใจลูกค้า กระบวนการทำงานของ EVEANDBOY ให้ความสำคัญกับการปรับแผนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ภายในและภายนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจ
ควบคู่กับการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และการทำงานที่ต้องมีความรวดเร็วในการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ยิ่งทุกวันนี่เทรนด์ความงาม และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วขึ้น

“ตลาดบิวตี้คึกคักมาก มีสินค้าออกใหม่ค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ทำให้ลูกค้าช้อปสนุกมากขึ้น มีตัวเลือกมากขึ้น รวมถึงการสื่อสารบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น โดยกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และพนักงานออฟฟิศ ถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของเราที่มีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการซื้อซ้ำ และเป็นกลุ่มลูกค้า Loyalty ที่เหนียวแน่น เข้ามาช้อปปิ้งที่ร้านสม่ำเสมอ
ทาง EVEANDBOY มีการวางกลยุทธ์ทางตลาดที่ทำให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นที่แรกเมื่อมีสินค้าออกใหม่หรือต้องการอัปเดตเทรนด์สินค้าใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำการตลาดของ EVEANDBOY มาโดยตลอด” คุณหิรัญ สรุปทิ้งท้าย