รู้จัก Machi Machi (มาชิ มาชิ) แบบ 360 องศา แบรนด์ชานมแท้ไต้หวัน ท้ารบ ‘ตลาดชานม’ ในเมืองไทย

  • 3.8K
  •  
  •  
  •  
  •  

ถ้าจะพูดถึงธุรกิจในตลาด Red Ocean ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะร่วงลงเลย ธุรกิจที่น่าสนใจในตอนนี้ก็คงเป็น “ชานม” เพราะถึงแม้ในตลาดจะมีผู้เล่นมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของตลาดนี้ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับธุรกิจชานมนี้เลย

ทั้งนี้ ภาพรวมของ ‘ตลาดชานมโลก’ ในปี 2020 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 62,500 ล้านบาท และคาดการณ์กันว่า ในปี 2023 จะเพิ่มขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท ในขณะที่ ‘ตลาดชานมในทวีปเอเชีย’ มีมูลค่าสูงกว่าตลาดโลก โดยในปี 2016 มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 62,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2019 มีมูลค่าราว 76,900 ล้านบาท หรือโตขึ้นประมาณ 24% ภายในระยะเวลา 3 ปี และคาดการณ์การเติบโตว่าจะสูงเพิ่มขึ้นปีละ 7-8% โดยที่ประเมินว่าอุตสาหกรรมนี้ในเอเชีย ปี 2028 อาจจะไปได้ไกลถึง 150,000 ล้านบาทเลย

ในขณะที่ ประเทศไทย เป็นประเทศที่กินชานมไข่มุกมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉลี่ยคนไทยดื่มถึงเดือนละ 6 แก้ว  และ ภาพรวมตลาดไทย ปี 2019 มีมูลค่าราว 2,500-3,000 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 40% ซึ่งตัวเลขนี้เป็นสัดส่วนการเติบโตที่มากกว่าตลาดโลกที่เติบโตเพียง 10% เท่านั้น

ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ประเทศไทยเป็นดินแดนอันหอมหวานของการลงทุนในธุรกิจ “ชานม” ซึ่งแม้แต่ดินแดนแม่อย่างไต้หวัน ก็ยังอยากจะบินมาลงทุนเปิดแบรนด์ชานมไข่มุกที่นี่เลย ดังเช่น แบรนด์ Machi Machi แบรนด์ชานม ต้นตำรับจากไต้หวัน ซึ่งเพิ่งเดินทางมาสดๆ ร้อน และเปิดบริการอยู่ที่สยามสแควร์ เป็นสาขาแรกที่เมืองไทย ส่วนแบรนด์นี้มีดีอะไรบ้างมาดูกัน

ทำความรู้จัก Machi Machi (มาชิ มาชิ)

Machi Machi ก่อตั้งเมื่อปี 2018 เป็นแบรนด์ร้านชานมจากไต้หวันเพื่อคนรุ่นใหม่ ที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และเป็นแรงบันดาลใจกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ปัจจุบันเปิดร้านอยู่ทั้งหมด 40 สาขาทั่วโลก ใน 11 ประเทศ วันนี้ Machi Machi เดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยสาขาแรกตั้งอยู่ที่สยาม โดยเป้าหมายสำคัญของ Machi Machi คือการยกระดับตลาดชานมเป็นสินค้าคุณภาพและการเป็นมากกว่าสินค้าที่ผลิตแบบแมสโปรดักส์ชั่น ดังนั้น ปรัชญาของ Machi Machi จึงเชื่อว่า การดื่มชาควรจะเป็นวิถีชีวิต เป็นไลฟ์สไตล์ มากกว่าแค่กระแสหรือแฟชั่น ดังนั้น แบรนด์ Machi Machi จึงถูกสร้างออกมาเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว มากกว่าการใช้แบรนด์เพื่อการค้าอย่างฉาบฉวย แม้แต่การออกแบบโลโก้ของ Machi Machi ก็ยังมีความลึกซึ้งและละเอียดอ่อน โดยที่มาของไอเดีย ‘น้องหมาดูดชานม’ ต้องการจะสื่อถึงความเป็น “best friend” น้องหมาน่ารักขี้เล่นที่จะช่วยให้เราร่าเริงตามไปด้วย ที่สำคัญคือ น้องหมายังเป็นสัญลักษณ์ของเพื่อน 4 ขาที่มีความจงรักภักดีและยังเป็นเพื่อนแท้ของมนุษย์ด้วย เรียกว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบรนด์ก็ยังสื่อกับลูกค้าในทุก touch point จริงๆ

ในแง่ของโปรดักส์ Machi Machi ยังได้รับความนิยมมากที่ไต้หวัน โดยบรรดานักชิมส่วนใหญ่ได้ตั้งฉายาให้กับแบรนด์ว่าเป็น The Cheese Tea God เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ได้ชื่อว่าเป็นชาชีสอร่อยที่สุดในไต้หวัน แล้วยังเป็นเจ้าแรกที่ทำเมนู ‘ชานมกับพานาคอตต้า’ ซึ่งแปลกใหม่และรสชาติอร่อย จนกลายเป็นเมนูยอดฮิตในปัจจุบัน นอกจากนี้ ในแง่ของการเป็นแรงบันดาลใจด้านดีไซน์และความคิดสร้างสรรค์ Machi Machi ยังถือได้ว่าเป็นแบรนด์แรกของโลกที่ออกแบบแพกเกจจิ้งในรูปแบบขวดแก้ว ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดส่งแบบ delivery โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ไม่สามารถเปิดหน้าร้านได้ ซึ่ง inspire ให้กับแบรนด์อื่นได้เดินตาม รวมไปถึงยังเป็นแบรนด์ที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ ที่นิยมการถ่ายภาพผ่านโซเชียลมีเดีย จึงได้ออกแบบและดีไซน์ตกแต่งร้านให้เหมาะแก่การถ่ายภาพในทุกๆ มุมอีกด้วย

Signature Menu มีอะไรบ้าง

หลังทำความรู้จักแบรนด์มาระดับหนึ่งแล้ว มาดูว่า Machi Machi มีเมนู Signature อะไรบ้างที่น่าสนใจ

  1. Machi Machi แบบขวด มี 3 รสให้เลือก ราคาตั้งแต่ 125-160 บาท
  • นมสตอเบอรี่ กับพานาคอตต้า
  • ชาเขียวพลัม ใส่เจลลี่พลัม
  • ชานมดำ กับพานาคอตต้า
  1. ฟองชีสแสนนุ่มในชานม มีให้เลือก 4 รสชาติด้วยกัน ราคาตั้งแต่ 110-120 บาท
  • ครีมชีสโฟม ชาดำ
  • ครีมชีสโฟม ชามะลิ
  • ครีมชีสโฟม ชาอู่หลง
  • ครีมชีสโฟม ชานมดำ

อย่างที่บอกไว้ว่า Machi Machi ได้ชื่อว่าเป็น The Cheese Tea God ดังนั้น เครมบรูเล่ (crème brûlée) จึงพิเศษและแตกต่างจากที่อื่น สูตรลับของ Machi Machi อยู่ที่การนำเอาวิธีทำขนมเครมบลูเล่มาดัดแปลงสูตรให้เหมาะแก่การเป็นท็อปปิ้ง จากนั้นจะใช้วิธีเบิร์นจากข้างบนแต่จะไม่ใช่วิธีการนำฟองนมโรยน้ำตาลแล้วมา torch ทีหลัง ซึ่งจะทำให้ได้เท็กซ์เจอร์ที่นุ่มและหอมหวานมากกว่านั่นเอง

  1. ชาผลไม้ มีให้เลือก 4 รสชาติด้วยกัน ราคาตั้งแต่ 130-135 บาท
  • ชาเขียวมะลิ กับผลไม้สด
  • ชาเขียวมะลิ กับส้มสด
  • สมูทตี้สตอเบอรี่ กับครีมชีสโฟม
  • บลูเบอร์รี่และสตอเบอรี่สมูทตี้สลัชชี่และครีมชีสโฟม
  1. ท็อปปิ้ง สำหรับไข่มุก สามารถสั่งเพิ่มได้ตั้งแต่ราคา 10-25 บาท มีให้เลือก 2 แบบ ได้แก่
  • มินิทาโร่บอล
  • ไข่มุกดำ

แต่มากไปกว่าเมนูต่างๆ คือการสร้างสรรค์เมนูบนแนวคิด Customer-Centric ที่ยึดหลักเอาความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพราะทุกๆ เมนูลูกค้าสามารถเลือกระดับความหวานเองได้ ตั้งแต่ หวานมาก, หวานปกติ, หวานน้อย, ไม่หวานเลย แล้วยังเลือกระดับของน้ำแข็งได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น น้ำแข็งปกติ หรือ ไม่ใส่น้ำแข็งเลย ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีเมนูชานมอุ่น เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการทาน

Selling Point ของ Machi Machi (มาชิ มาชิ)

แม้ตลาดชานมบ้านเราจะเป็น Red Ocean แต่ก็ต้องบอกว่า ยังมีโอกาสที่แบรนด์จะเข้ามาแทรกตัวได้อยู่เพราะชานมเป็นเมนูโปรดที่คนไทยชื่นชม แต่แน่นอนว่าการเข้ามาของ Machi Machi จะต้องมีจุดขายที่โดดเด่นพอที่จะตัดสินใจโดดเข้ามาเล่นในศึกนี้ ดังนั้นลองมาดูกันว่าอะไรคือไม้เด็ดของแบรนด์นี้กันบ้าง

  1. ชาระดับพรีเมียม และวัตถุดิบคุณภาพจากธรรมชาติแท้ ใช้ชาที่คัดสรรอย่างดีจากเมือง Nantou, Yuchi, Sun Moon Lake ในไต้หวัน เป็นชาที่สดใหม่บริสุทธ์แท้ ดูแลและตัดเก็บตามขั้นตอนไม่มีการเก็บเกี่ยวก่อนเวลาอันควร จึงทำให้ได้รสชาติที่ชัดเจนของชาต้นตำรับ หรือแม้แต่การเลือกนมนำเข้าจากนิวซีแลนด์เพื่อให้ได้รสชาติและสัมผัสที่นุ่มในทุกครั้งที่เบลนเข้ากับชาหรือเวลาที่ต้องผสานกับผลไม้สด ทำให้สองรวมเป็นหนึ่งเดียวได้
  2. เน้นดีไซน์ทันสมัยและใช้นวัตกรรมสร้างสรรค์เมนู ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการออกแบบเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เลเยอร์ของเครื่องดื่มเป็นชั้นๆ หรือการแยกชั้นระหว่างเครื่องดื่มกับพานาคอตต้า ก็ทำให้นอกจากจะรู้สึกสวยงามแปลกตาแล้ว ยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้บริโภคได้พบกับประสบการณ์รสชาติของแต่ละชั้นไปทีละขั้นๆ ด้วย รวมไปถึงการดีไซน์ขวดที่เป็น Unique จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์อื่นๆ ล้วนเป็นความใส่ใจที่แบรนด์เน้นและเข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
  3. สร้างประสบการณ์และความประทับใจเป็นมากกว่าแค่การมาซื้อแล้วไป เห็นได้จากการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ของลูกค้า ที่ให้สามารถเลือกระดับน้ำตาลและระดับน้ำแข็งได้ เรียกว่าเป็นการสร้างแบรนด์อย่างเข้าใจในแบบ Customer Centric

คอนเซ็ปต์ร้านและการดีไซน์ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่

Machi Machi สาขาสยามสแควร์ ซ.8 เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด ออกแบบร้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายเหมือนอยู่บ้าน ในขณะที่แต่ละเมนูทำหน้าที่ในการต้อนรับแขกผู้มาเยือน โดยแต่ละแก้วนั้นได้พิถีพิถันอย่างใส่ใจในทุกรายละเอียดมากกว่าแค่การตวงวัดชั่งทุกอย่างให้ได้มาตรฐาน แต่มันคือการใส่จิตใจของผู้เบลนลงไปในทุกๆ แก้วที่เสิร์ฟด้วย โดยเปรียบให้พนักงานเบลนชาเป็นเหมือนศิลปินที่กำลังสร้างสรรค์งานศิลปะไม่ใช่การชงชาเพื่อมาขายเป็นสินค้า ซึ่งรวมไปถึงการออกแบบร้านที่เน้นเป็นพื้นที่โล่งกว้างแห่งความคิดสร้างสรรค์ โดยมีพนักงานเป็นศิลปินผู้รังสรรค์ความมหัศจรรย์ออกมา ดังนั้น ชุดยูนิฟอร์มของพนักงานจึงออกมาดูคล้ายกับนักวาดภาพ โดยมีผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่คอยป้องกันสีจากงานเพนท์ไม่ทำให้ชุดเลอะเทอะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ร้านถูกออกแบบมาเหมือนผ้าใบผืนใหญ่ที่เปิดกว้างให้ทุกคนที่เข้ามาได้เป็นศิลปิน แต่งแต้มงานศิลปะในรูปแบบต่างๆ ลงไปทุกมุมของร้านภายใต้คอนเซ็ปต์ Minimal but elegant ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มักจะถ่ายภาพและโพสต์รูปลง Social Media ด้วยเทรนด์การตกแต่งร้านสไตล์โมเดิร์น ไม่ว่าจะเป็น ป้ายไฟนีออน โควทข้อความเก๋ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเพนท์บนฝาผนัง ที่ลูกค้ามักจะนำโปรดักส์มาถ่ายรูปเล่นด้วย เกิดเป็นมุมถ่ายภาพในสไตล์ Interaction Art ที่ไม่เหมือนใคร

เรียกว่า Machi Machi เป็นแบรนด์เครื่องดื่มชานมที่น่าสนใจ มากกว่าแค่การสร้างกระแสในโลกโซเชียล แต่ยังเป็นแบรนด์ที่สตรองในแง่ของ Positioning แนวคิดและคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ด้วย ดังนั้น การบินมาเปิดตัวที่เมืองไทย เร็วๆ นี้เราน่าจะได้เห็นแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจจาก Machi Machi อย่างแน่อนอน ซึ่งสามารถเข้าไปติดตามโปรโมชั่นหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ตามโซเชียลมีเดีย

Facebook @machimachithailand และ Instagram @machimachi_thailand หรือแวะเข้าไปที่ร้านด้วยตัวเองได้เลยที่ สยามสแควร์ซอย 8


  • 3.8K
  •  
  •  
  •  
  •