ในยุคที่วงการการตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปบริโภคคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น การเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์จึงไม่ใช่เพียงการหาใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ต้องหาผู้ที่สามารถสร้างการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง “มาม่า” แบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชั้นนำของไทย ที่มีประวัติศาสตร์การใช้พรีเซ็นเตอร์มาหลายคนและสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุด ได้ประกาศการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ที่สร้างความแปลกใจให้กับวงการการตลาด นั่นคือกลุ่ม “เสือร้องไห้” Creator แถวหน้าของวงการ และนับเป็นการตัดสินใจที่ท้าทายและแตกต่างจากการเลือกพรีเซ็นเตอร์ในอดีตที่ผ่านมาของแบรนด์
การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาดครั้งสำคัญ
ช่วงนี้ต้องบอกว่าเราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจจาก “มาม่า” มากมาย ทั้งการเปลี่ยนโลโก้เป็นแบรนด์อื่นบนโซเชียลมีเดีย หรือการทำ OOH สุดแหวกแบบอ่านกลับด้าน
ล่าสุด “มาม่า” ตัดสินใจเลือก “เสือร้องไห้” เป็นพรีเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ถือเป็นการเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่แบรนด์หันมาใช้กลุ่ม Content Creator แทนการใช้ ดารา ศิลปิน ตามแบบเดิม การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของแบรนด์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาบริโภคคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลและติดตามครีเอเตอร์มากกว่าสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennial ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างมาก
วิเคราะห์จุดแข็งของการเลือก “เสือร้องไห้”
แต่ถามว่าทำไมต้องเป็น “เสือร้องไห้”? เรามองว่า เนื่องจากความหลากหลายของสมาชิกในกลุ่มเสือร้องไห้เป็นจุดแข็งสำคัญ ที่ทำให้การเลือกพรีเซ็นเตอร์ครั้งนี้น่าสนใจ เมื่อดูที่องค์ประกอบของแต่ละคน พบว่า “คัตโตะ” มีบทบาทเป็นศิลปินนักร้องวงลิปตา สามารถดึงกลุ่มแฟนเพลงได้ “แนตตี้” ในฐานะมือกีตาร์วง no one else สร้างการเชื่อมต่อกับกลุ่มนักดนตรีและคนรักเพลง “โค้ดดี้” เป็นเจ้าพ่อคอนเทนต์ที่มีฐานแฟนคลับติดตามคอนเทนต์อย่างแข็งแกร่ง และ “เอ็ดดี้” เจ้าของเพจเอ็ดเจ็ดวิ ที่มีความครีเอทีฟสูงและสามารถดึงดูดกลุ่มคนรักความคิดสร้างสรรค์
ดังนั้น เมื่อนำทั้ง 4 คนมาทำงานร่วมกัน เกิดเคมีที่เป็นธรรมชาติและสร้างพลังงานใหม่ที่แตกต่างจากการใช้พรีเซ็นเตอร์คนเดียว
สร้างข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจ ในยุค Creator Economy
จากมุมมองทางธุรกิจ การใช้กลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าจากการเข้าถึงออเดียนซ์ที่หลากหลายและมีส่วนร่วมสูง นอกจากนี้ การทำงานกับครีเอเตอร์ยังเปิดโอกาสให้แบรนด์สามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มหลากหลายช่องทาง ทั้ง TVC แบบดั้งเดิมและช่องทางออนไลน์ต่างๆ ที่แต่ละคนในกลุ่มมีอิทธิพล การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาผลงานต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยสร้างความจดจำแบรนด์และความผูกพันกับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทสรุป
การเลือก “เสือร้องไห้” เป็นพรีเซ็นเตอร์ของมาม่าถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดและสอดคล้องกับเทรนด์การตลาดในปัจจุบัน แบรนด์แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงและความกล้าในการทดลองกลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาด
การใช้ความแตกต่างนี้เป็นจุดขายสำคัญที่ช่วยแยกความแตกต่างจากคู่แข่งและเปิดโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีศักยภาพสูง หากแบรนด์สามารถสร้างความสมดุลระหว่างการให้อิสระแก่ครีเอเตอร์และการรักษาเอกลักษณ์แบรนด์ได้อย่างเหมาะสม กลยุทธ์นี้น่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับแบรนด์มาม่า
ก้าวสำคัญครั้งนี้ของ “มาม่า” น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงสั่นสะเทือนวงการได้อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน.