เพราะการนำเสนอสินค้าและบริการให้ถูกใจผู้บริโภคหรือติดตลาดได้ ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีไอเดียสร้างสรรค์ผนวกเข้ากับเทคโนโลยี ไม่เหมือนในอดีต ที่นำเสนอประสิทธิภาพหรือความแปลกแหวกแนวก็อาจประสบความสำเร็จจากกระแสแปลกใหม่นั้นได้ และถ้าคุณพิจารณาให้ดี…ไอเดียสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน หลายครั้งก็ไม่ได้เป็นไอเดียของแบรนด์ธุรกิจและบริการ แต่มาจาก “องค์กร” ที่เราคาดไม่ถึง ทั้งยังเป็นองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง พวกเขาสร้างไอเดียจากอะไรในเมื่อเป็นองค์กรขนาดเล็กไม่มีแผนก R&D (Research & Development)
เรื่องนี้ ศาสตราจารย์ ดร.เฮนรี่ เชสโบร์ว กรรมการบริหาร ศูนย์พัฒนานวัตกรรมแบบเปิด สถาบันพัฒนาธุรกิจด้านนวัตกรรม แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา ผู้คิดค้นแนวคิด “นวัตกรรมแบบเปิด” (Open Innovation) ได้แสดงความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจในงานสัมมนา STI Forum and Outstanding Technologist Awards 2017
“ปัจจุบันตัวเลขการลงทุนด้าน R&D เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมในประเทศต่างๆ เมื่อเทียบกับ GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทยนั้นยังคงอยู่ในระดับน้อยมาก โดยไทยมีสัดส่วนเพียง 0.6% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3% และเกาหลี 4% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นในการลงทุนด้าน R&D ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ไอเดีย สามารถภาพลักษณ์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศในสายตานานาชาติ ทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นในมุมมองพาทเนอร์ต่างชาติได้ด้วย”
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.เฮนรี่ ยังอธิบายอีกว่า ในอดีตแผนก R&D จะมีเฉพาะในองค์กรใหญ่ๆ เท่านั้น เพื่อพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค แต่เนื่องจากปัจจุบันมีอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เราจึงได้เห็นแนวคิดใหม่ๆ สู่รูปแบบ Open Innovation ที่นำเอาไอเดียผนวกเข้ากับเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต
คนไทยไอเดียดี แต่…
คนไทยมีศักยภาพและรู้จักสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนวัตกรรม แต่อาจลืมพิจารณาถึงการตอบโจทย์ผู้บริโภคต่างขาติด้วยเพื่อขยายโอกาสสู่ลูกค้ากลุ่มต่างประเทศ
3 แนวคิดที่ควรให้ความสนใจ
ประเด็นที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา กำลังให้ความสนใจและพูดคุยอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 3 แนวคิด ได้แก่ 1.Social Innovations เพื่อเชื่อมโยงองค์กรธุรกิจเข้ากับองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร สร้างรูปแบบใหม่ๆ ในการนำเสนอไอเดีย 2.พลังงานสีเขียวที่สามารถนำมาสู่การใช้งานได้จริงไม่ใช่เพียงแนวคิด และ 3.Startup Method สนับสนุนให้เด็กได้คิดและปฏิบัติจริงในแนวทางนักบริหารถือเป็นการปูพื้นสู่
ไอเดียต้องกระจาย ไม่กระจุกตัว
เพราะแนวคิดเปรียบเสมือนไซโล ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการมีไอเดียน่าสนใจ แต่สำเร็จได้เพราะความร่วมมือร่วมใจกันดำเนินการในทุกๆ แผนก เราควรสร้างให้ให้เกิดการกระจายตัวไม่ใช่การกระจุกตัว ทั้งยังควรทำให้เกิดการแชร์และร่วมมือกันทั้งภายในและภายนอกองค์กร
“ในอนาคต แนวคิดที่จะประสบความสำเร็จอาจไม่ต้องเกิดจากการทำ R&D อย่างเดียวอีกต่อไป แต่สามารถเกิดได้จากการนำความเป็นดิจิทัลเข้ามารวมกับ R&D ให้ตรงใจผู้บริโภคด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความร่วมมือให้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ไม่ใช่เกิดไอเดียเจ๋งๆ แล้วหยุดแค่การนำเสนอ การประกวด แต่ไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังแผนกอื่นๆ เพื่อร่วมกันผลักดันให้ไอเดียกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สร้างโอกาสได้จริง อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกันนี้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกด้วย”
หัวใจหลักของ Open Innovation
หลักสำคัญของแนวคิด Open Innovation คือการเปิดกว้างในการสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะเรื่องไอเดียซึ่งจำเป็นต้องเปิดกว้างตั้งแต่ในองค์กรสู่ภายนอกองค์กร ขณะเดียวกันก็ต้องเปิดกว้างสำหรับการนำไอเดียจากนอกองค์กรเข้ามาสู่ภายในองค์กรเพื่อปรับใช้เช่นกัน
อนาคตของไอเดียกำลังเปลี่ยนไป…
จากการเกิดของสตาร์ทอัพ รวมถึงการพัฒนาไอเดียในปัจจุบัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด 3 เรื่อง ได้แก่ 1.อีโคซิสเต็มส์เกิดได้ในองค์กรทุกขนาด ไม่จำเป็นต้องมีแค่ในองค์กรใหญ่ เนื่องจากสตาร์ทอัพสามารถเข้ามามีบทบาทได้มากขึ้น 2.องค์กรขนาดใหญ่ให้ความสนใจและมีส่วนสนับสนุนสตาร์ทอัพมากขึ้น และ 3.ภาคสังคมและภาคประชาชนพร้อมเปิดรับและใช้นวัตกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การนำอุปกรณ์ IoT ไปช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หรือการศึกษาในถิ่นห่างไกล เป็นต้น.
Copyright © MarketingOops.com