สำหรับบางคนการมีเงินทองมากมายไม่สำคัญเท่า “การมีสุขภาพดี” คุณปอน วิตราภรณ์ พิมพลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบลสท์ โพรดักส์ ออฟ เอเชีย จำกัด หรือผู้ก่อตั้งแบรนด์เซนย่า ออร์แกนิก ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน จากคนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหารกว่า 40 ชนิด ทานยาวันละ 4 เม็ด และใช้เวลารักษานานกว่า 2 ปี ทำให้เธอต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต อ่านฉลากและส่วนผสมในของใช้ทุกชนิด หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและไร้สารเคมี ก็ทำให้อาการภูมิแพ้ค่อยๆ ดีขึ้น
ก่อนหน้านี้คุณปอนอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ทำให้หาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกได้ง่าย จนกระทั่งย้ายกลับมาเมืองไทย 5 ปีที่แล้ว จึงพบว่าการหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกในไทยที่เป็นออร์แกนิกจริงๆ ค่อนข้างยาก และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหาร ไม่ใช่ของใช้ในชีวิตประจำวัน คุณปอนจึงเริ่มทำสบู่ออร์แกนิกใช้เอง หาสูตรในอินเตอร์เน็ตและค่อยๆ ปรับจนลงตัว และพัฒนาต่อจนได้สบู่ออร์แกนิกหลากหลายสูตร โดยมี สบู่ออร์แกนิกโอเชียนเฟรช ซึ่งเป็นสบู่ซิกเนเจอร์ของแบรนด์ และเป็นสินค้าขายดีที่สุดในปัจจุบัน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เพราะใช้น้ำมันหอมระเหยออร์แกนิก ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการคันจากผดผื่น
โดยงานแฟร์ตลาดสีเขียวในปี 2556 เป็นงานแรกที่นำไปจำหน่าย วันนั้นขายสบู่ได้ 7 ก้อน จาก 700 ก้อน แม้จะไปไม่สวยนัก คุณปอนกลับคิดว่า อย่างน้อยก็มีคน 7 คนได้ใช้ของดีและปลอดภัย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นสร้างแบรนด์ “Znya Organics” (เซนย่า ออร์แกนิก) อย่างจริงจัง
ออร์แกนิกแท้ต้องมีตรารับรองมาตรฐาน
สำหรับคนไทยเมื่อเห็นคำว่าออร์แกนิกก็มักคิดว่าปลอดภัย แต่ไม่ได้ดูว่าแบรนด์นั้นมีมาตรฐานรับรองหรือไม่ หรือมีวัตถุดิบออร์แกนิกกี่เปอร์เซ็นต์ เซนย่าเลือกใช้วัตถุดิบที่ได้รับการรับรองว่าเป็นสินค้าออร์แกนิกจาก USDA Organic ซึ่งเป็นตรารับรองมาตรฐานออร์แกนิกที่เข้มงวดอย่างมาก และเป็นแบรนด์ไทยเพียงไม่กี่แบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ได้รับมาตรฐานนี้ ทั้งนี้ มาตรฐาน USDA Organic เป็นตรารับรองอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของสหรัฐฯ แบรนด์ที่ได้รับมาตรฐานนี้และมีโลโก้ USDA Organic บนผลิตภัณฑ์ต้องใช้วัตถุดิบออร์แกนิกไม่น้อยกว่า 95% และอีก 5% ต้องเป็นวัตถุดิบที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ อนุญาตเท่านั้น
วัตถุดิบออร์แกนิกในที่นี้ เริ่มต้นจากเกษตรกรผู้ปลูกผัก-ผลไม้ ต้องมีใบรับรองมาตรฐาน USDA Organic เช่นเดียวกัน ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมี ปัจจุบันฟาร์มในไทยที่มีมาตรฐาน USDA Organic ก็เน้นส่งออกเป็นหลัก ความยากของเราจึงอยู่ที่การหาวัตถุดิบ โดยเฉพาะเมื่อ 5 ปีก่อน แทบหาไม่ได้เลยเมื่อเทียบกับตอนนี้
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของเซนย่ายังกวาดรางวัลจากเวทีประกวดต่างๆ มากมาย อาทิ รางวัลเหรียญทองจาก International Warsaw Invention Show ปี 2016, รางวัลเหรียญทองจากสมาคมนวัตกรรมโรมาเนีย, รางวัลเหรียญทองจาก สมาพันธ์นักประดิษฐ์โลก IFIA, รางวัลพิเศษจาก International Invention Design Competition, รางวัล Gold Medal from iCAN 2017 และล่าสุดกับรางวัล Erudite Inventor for Outstanding International Achievement ในงาน International Inventor Prize ณ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน
ภาพรวมตลาดออร์แกนิกในไทย
ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกในไทยยังเล็กมาก แต่ในแง่ของการรับรู้ ถือว่าดีกว่าเดิมมาก ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจแล้วว่าออร์แกนิกคืออะไร เริ่มให้มูลค่าของผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมากขึ้น จากแค่กลุ่มอาหาร ก็เริ่มมีของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ส่วนใหญ่เป็นของนำเข้า ทำให้มีราคาสูง เซนย่าจึงพยายามเลือกใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้ได้ราคาที่จับต้องได้
ยอมได้กำไรน้อยลง เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้ของดี
หนึ่งในหลักคิดของการทำธุรกิจตามแบบฉบับเซนย่าที่น่าสนใจคือ การคิดค้นสูตรและเลือกสิ่งที่ดีที่สุด แล้วค่อยกำหนดราคาขาย คุณปอนเล่าว่า ผลิตภัณฑ์ของเซนย่าเมื่อเทียบกับแบรนด์ออร์แกนิกอื่นๆ ถือว่ามีราคาสูงกว่า แต่เราไม่ได้แพงเพราะอยากแพง แต่แพงเพราะคุณภาพ เราไม่เคยทำโปรโมชั่นลดราคา เพราะเชื่อว่าราคาที่กำหนดมาแล้วเป็นราคาที่รับได้ทั้งสองฝ่าย กลยุทธ์ของแบรนด์จึงเน้นเรื่องของการแถมมากกว่า
เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นผลผลิตทางการเกษตร ราคาจึงเปลี่ยนไปตามฟาร์มนั้นๆ เมื่อมีฟาร์มมีมาตรฐาน USDA Organic มากขึ้น ก็ทำให้แบรนด์สามารถลดราคาสินค้าได้ อาทิ ยาสระผมราคา 1,450 บาท ปรับราคาลงมาเหลือ 950 บาท หากถามว่าไม่ลดราคาได้ไหม ก็ทำได้ แต่เราอยากให้ลูกค้าจ่ายน้อยลง ทั้งนี้ ก่อนเปลี่ยน Supplier แต่ละครั้ง เราต้องนำวัตถุดิบมาทดลองสูตรทุกครั้ง เพื่อดูว่าได้สินค้ามีคุณภาพดีเหมือนเดิมหรือไม่
“ทุกคนบนโลก” คือกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ของเซนย่าเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จึงเป็น “ทุกคนบนโลก”เพราะทุกคนมีสิทธิ์ใช้ของดีมีคุณภาพและปลอดภัย เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนต้องใช้ของออร์แกนิกตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่ใช้สักชิ้นทดแทนของที่ใช้อยู่ทุกวันก็เพียงพอแล้ว เราจึงพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงทุกคน
หลังจากทำตลาดในไทยจนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก และมีลูกค้าประจำแล้ว เซนย่ายังขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และอังกฤษ และกำลังวางแผนบุกฮ่องกงและญี่ปุ่น ผ่านการทำ Co-Branding และเป็น OEM รับจ้างผลิตสินค้าออร์แกนิก นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับสายการบิน Bangkok Airways จัดเซ็ตผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกให้ผู้โดยสารชั้น Business Class อีกด้วย
ตั้งเป้าการเติบโตแบบ Triple
แม้เป็นแบรนด์เล็กๆ โลดแล่นอยู่ในตลาดไม่นาน ยอดขายในปีแรกของเซนย่าอยู่ที่ 500,000 บาท และเติบโตแบบดับเบิ้ลทุกปี สำหรับปีนี้ตั้งเป้าไว้ 10 ล้านบาท และคาดว่าปีหน้าอาจเติบโตได้ 3 เท่า ควบคู่ไปกับเทรนด์การดูแลสุขภาพที่โตขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันเซนย่าเดินทางถึงปีที่ 5 มีผลิตภัณฑ์กลุ่ม Personal Care ครอบคลุมการใช้งานในชีวิตประจำวันเกือบทั้งหมด รวมกว่า 50 อย่าง อาทิ สบู่ก้อน, ยาสระผม, บาล์มทาผิว, ยาสีฟัน, เกลือแช่ตัว-เท้า, สบู่เหลว, น้ำมันทาผิว, ลิปบาล์ม, ผงพอกหน้า ฯลฯ ในอนาคตมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีกมาก อาทิ ยาย้อมผม เจลใส่ผม เครื่องหอมต่างๆ และยาสีฟันรสช็อกโกแลตสำหรับเด็ก ซึ่งมีแผนวางจำหน่ายช่วงเดือนเมษายนปีหน้า
สำหรับช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันเซนย่ามีทั้งแบบออนไลน์ และออฟไลน์ อาทิ Facebook: znyaorganics, Line: @znyaorganics, เว็บไซต์ www.znyaorganics.com, ร้าน Lab Pharmacy, KIDs Planet แผนกเด็กของห้างในเครือเดอะมอลล์, ร้าน Healthy Max สาขาโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ชั้น 3 โซน A, ร้าน Lemon Farm (บางสาขา) ฯลฯ ในส่วนของต่างจังหวัดนั้นขายผ่านตัวแทนจำหน่าย โดยผู้ขายต้องเข้ามาเทรนด์ความรู้เป็นเวลา 7 วัน เพื่อให้ได้ข้อมูลละเอียดและครบถ้วน
“ในแต่ละวันร่างกายเราได้รับสารเคมีจำนวนมาก ทั้งการใช้ยาสระผม เจลแต่งผม ลิปสติก หรือครีมกันแดด เรียกได้ว่าโดนสารเคมีตั้งแต่หัวจรดเท้า หากรับมากเกินไปก็ทำให้เกิดการสะสมและอาจทำให้ป่วยได้ หากคุณลดการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ลง และหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกทดแทนสักชิ้น ถือเป็นการดูแลสุขภาพตัวเองในระยะยาว สำหรับผู้บริโภคที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก เราแนะนำให้อ่านฉลากทุกครั้ง ดูส่วนผสมและมาตรฐานต่างๆ เซนย่าในฐานะผู้ประกอบการก็พร้อมทำหน้าที่ให้ความรู้ รวมถึงใส่ใจการผลิตทุกขั้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเช่นกัน” คุณปอน กล่าวทิ้งทาย