ปี 2025 กำลังจะเป็นปีที่วงการคอนเทนต์กีฬาในประเทศไทยเดือดแบบสุดๆ เมื่อ JAS สร้างปรากฏการณ์ด้วยการคว้าลิขสิทธิ์ “ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ” และ “เอฟเอคัพ” ตัดหน้า TrueVisions ผู้ที่เคยวางตัวเองเป็น “King of Sports” มาอย่างยาวนาน และล่าสุดยังปิดดีลคว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอล “ไทยลีก” ฤดูกาล 2025/2026 ไปได้อีก
สิ่งที่น่าจับตาไปกว่านั้นคือการจับมือกันระหว่าง JAS กับ AIS ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของ True ในตลาดโทรคมนาคม โดยมีทุนหนุนหลังอย่าง GULF ของ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ไม่เท่านั้น แต่ยังมี SIAMSPORT ที่เข้ามาเสริมทัพด้านบุคลากรอีกด้วย
อาจเรียกได้ว่าปี 2025 นี้เป็นปีแห่ง “สงครามคอนเทนต์กีฬา” ศึกระหว่างสองค่ายโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่าง AIS และ True ก็ว่าได้ และในบทความนี้เราจะพาไปย้อนเรื่องราวของความดุเดือดครั้งนี้ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2024 ให้ได้เข้าใจกัน
JAS ทุ่มเงินประมูลสะเทือนบัลลังก์ True

ต้องเข้าใจกันก่อนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา TrueVisions เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องถึงสองรอบสัญญารอบละ 3 ปี คือระหว่างปี 2019-2022 และปี 2022-2025 นั่นทำให้ TrueVisions กุมอำนาจในตลาดคอนเทนต์กีฬาอย่างเบ็ดเสร็จ
เป็นเหุตผลให้ TrueVision ประกาศเลยว่าเป็น “King of Sports” ราชาแห่งคอนเทนต์กีฬามาได้อย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 ที่มีการประมูลลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกรอบใหม่ ซึ่งรอบนี้เป็นครั้งแรกที่มีออปชั่นสัญญายาวทีเดียว 6 ปี
พร้อมทั้ง “เงิน” และ “เทคโนโลยี”
JAS ตัดสินใจกระโดดเข้ามาในเกมด้วยความพร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยี ใน “ด้านเงินทุน” JAS มีเงินทุนมหาศาลมาจากดีลการขายธุรกิจ 3BB Broadband ให้กับ AIS ในปี 2022 ด้วยมูลค่ากว่า 32,420 ล้านบาท
ส่วน “ด้านเทคโนโลยี” JAS มีแพลตฟอร์ม Monomax ซึ่งแพลทฟอร์มสตรีมมิ่งที่เทียบง่ายๆก็เหมือนกับ Netflix เวอร์ชั่นประเทศไทย ที่สามารถรองรับการถ่ายทอดสดได้เป็นอย่างดี
ในการประมูล JAS เลือกใช้กลยุทธ์แบบ “ทุ่มทีเดียวจบ” ด้วยการยื่นข้อเสนอสูงถึง 19,167 ล้านบาท สำหรับสัญญา 6 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 3,194 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินเดิมของ TrueVisions ที่ราว 6 พันล้านบาทสำหรับ 3 ปี (เฉลี่ยปีละ 2 พันล้าน) ไปไกลมากๆ
ด้วยตัวเลขที่สูงขนาดนี้ทำให้ TrueVisions จึงไม่ทำการ “แมตช์” ข้อเสนอของ JAS ทำให้ JAS คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล คือตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 – 2030/31 ได้สำเร็จ
AIS-GULF และ SIAMSPORT เสริมทัพ JAS
ความน่าสนใจของสงครามคอนเทนต์ครั้งนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ JAS ได้ลิขสิทธิ์ไปเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจับมือเป็นพันธมิตรกับ AIS ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ True ในตลาดโทรคมนาคมของไทย โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกให้แฟนบอลไทยผ่านช่องทาง AIS PLAY นอกเหนือจาก Monomax ด้วย
ที่เราต้องรู้ก็คือ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ซึ่งเป็นการควบรวมบริษัทระหว่าง บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ และ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ถือหุ้นใหญ่ถึง 40.44%ใน AIS

ส่วนคุณ สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GULF ก็เป็นนักธุรกิจไทยระดับเจ้าสัวเพียงคนเดียวที่เคยจับมือพูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังนั้น การที่ JAS จับมือกับ AIS ซึ่งมี GULF หนุนหลัง ถือเป็นการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสนามแข่งขันช่วงชิงเวลาผู้ชมในครั้งนี้
ดึง SIAMSPORT ตั้งทีมพากษ์ระดับตำนาน
นอกจากนี้ JAS และ Monomax ยังได้ประกาศความร่วมมือกับ “SIAMSPORT” ผู้คร่ำหวอดในวงการกีฬามายาวนาน ในการเป็นผู้สนับสนุนทีมนักพากย์ และผู้บรรยาย ในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2025/26
ในทีมมีนักพากย์ระดับตำนานร่วมทีม เช่น คุณบูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร (บอ.บู๋), คุณอดิสรณ์ พึ่งยา (แจ็คกี้), คุณสาธิต กรีกุล (บิ๊กจ๊ะ) และ คุณณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา (ตังกุย) เรียกว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งมากๆก็ว่าได้
ลิขสิทธิ์ “ไทยลีก” เรือธงลำที่สองของ JAS

ข่าวใหญ่ที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา AIS ในนามของ บริษัท ไมโม่เทค จำกัด ซึ่งร่วมทุนกับ JAS ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีกทุกระดับ ตั้งแต่ซีซั่น 2025-26 จนถึง 2028-29 ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 2,000 ล้นบาท ตลอดสัญญา 4 ปี เฉลี่ยปีละ 500 ล้านบาท
เรียกว่าการคว้า “เรือธงลำที่สอง” คือไทยลีก เข้ามาอยู่ในพอร์ตครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของ AIS และ JAS ในการเป็น “King Of Football” ก็ว่าได้
การเข้าครอบครองทั้งพรีเมียร์ลีกและไทยลีก ซึ่งครอบคลุมฐานแฟนฟุตบอลในไทยอย่างมหาศาล นอกจากจะเป็นการคว้าโอกาสทางธุรกิจที่จะดึงดูดผู้ชมเข้าสู่แพลทฟอร์มได้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนฟุตบอลไทย ส่งเงินหมุนเวียนเข้าสู่สโมสรสมาชิก ให้ได้รับการการันตีเงินสนับสนุนไปอีกอย่างน้อย 4 ฤดูกาลเต็ม
JAS ยืนยันค่าบริการราคาดีกว่า
หลังจากชัยชนะครั้งสำคัญ JAS ก็เดินหน้าเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ โดยจะมีการใช้แพลทฟอรืม Monomax เป็นแพลทฟอร์มหลักในการถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก โดยสามารถรองรับการถ่ายทอดสดพร้อมกันได้หลายคู่
JAS ยืนยันว่าค่าสมัครสมาชิกรายเดือนและรายปีจะถูกกว่า TrueVisions ในปัจจุบัน โดยตั้งราคาไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน ซึ่งจะสามารถดูพรีเมียร์ลีกและคอนเทนต์อื่นๆ ใน Monomax ได้ด้วย
มีข่าวด้วยว่า JAS กำลังเจรจากับพรีเมียร์ลีก เพื่ออนุญาตให้ครีเอเตอร์สามารถใช้ฟุตเทจของพรีเมียร์ลีกได้อย่างถูกต้อง และมีแผนนำ Fantasy Football เวอร์ชั่นภาษาไทยมาให้แฟนบอลได้สนุกกัน พร้อมรางวัลพิเศษ
ไม่เท่านั้น JAS ยังวางแผนที่จะนำพรีเมียร์ลีกบางส่วนออกอากาศทางฟรีทีวี ผ่านช่อง Mono 29 เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีอีกด้วย
TrueVisions สู้กลับด้วย King of Content

แม้จะเสีย “เพชรยอดมงกุฎ” อย่างพรีเมียร์ลีกไป แต่ TrueVisions ซึ่งยืนยันว่ายังคงเป็น “King of Sports” ก็ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นที่การรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลายและประสบการณ์ที่เหนือกว่าในฐานะ “King of Content”
จุดแข็งที่ไม่มีใครสู้ได้ของ TrueVisions ก็ต้องบอกว่าคือ TrueVisions NOW แพลทฟอร์มสตรีมมิ่งที่ วางตำแหน่งให้เป็น Home of Entertainment รวบรวมคอนเทนต์บันเทิงและกีฬาหลากหลายประเภทไว้ในแอปเดียว
และแม้จะเสียงพรีเมียร์ลีกไป แต่ TrueVisions ยังคงมีลิขสิทธิ์กีฬาชั้นนำอีกมากมาย เช่น ลาลีกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมนี, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รวมถึง ฟอร์มูล่าวัน (F1), โมโตจีพี (MotoGP), บาสเก็ตบอล NBA, อเมริกันฟุตบอล NFL, แบดมินตัน, และวอลเลย์บอล
และนอกจากกีฬาแล้ว TrueVisions NOW ยังมีซีรีส์ ภาพยนตร์ วาไรตี้ สารคดี อนิเมะ จากทั่วโลก รวมถึงคอนเทนต์ Original Series ที่ผลิตขึ้นเอง และยังมีร่วมมือกับแอปพันธมิตรชั้นนำอย่าง iQIYI, WeTV, HBO, Viu และ Netflix ในแต่ละแพคเกจด้วยเช่นกัน
จับตาสงครามคอนเทนต์ 2025 ใครคือผู้ชนะ?
การแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง JAS-AIS-GULF และ TrueVisions ในตลาดคอนเทนต์กีฬาในปี 2025 นี้ จะเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้มีชัยในการคว้าลิขสิทธิ์ในอนาคต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแข่งขันนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดสำหรับ “ผู้บริโภค” อย่างเรา เพราะการแข่งขันทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้นกว่าเดิม, นวัตกรรมการบริการที่พัฒนาขึ้น และทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในการรับชม
หลังจากนี้คู่แข่งขันทั้ง 2 ค่ายโดยเฉพาะ JAS ที่เพิ่งกระโดดลงสนามคงต้องพิสูจน์ตัวเองว่าบริการต่างๆสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยียมให้กับผู้ชมได้มากแค่ไหน ก็ต้องติดตามกันดู