ในวันที่ซีรีส์ “Mad Unicorn: สงครามส่งด่วน” กำลังเป็นกระแส คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสมรภูมิโลจิสติกส์ในเวลานี้ก็กำลังร้อนระอุไม่ต่างจากในจอ ผู้เล่นหน้าใหม่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด จนคำว่า “Burn เงิน” กลายเป็นเรื่องปกติ
แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดนี้ มีผู้เล่นรายหนึ่งที่ยังคง “กำไร” และกำลังพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้ชนะที่แท้จริง นั่นคือ “ไปรษณีย์ไทย“ องค์กรเก่าแก่กว่า 141 ปี ที่ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไตรมาสแรกของปีนี้ก็ทำกำไร ไปแล้วมากกว่า 500 ล้านบาท
บทความนี้ Marketing Oops! จะพาไปเจาะลึกกลยุทธ์เบื้องหลังความสำเร็จของไปรษณีย์ไทย พร้อมกับไปเปิด “อาวุธลับ” ที่กำลังจะเปลี่ยนอนาคตการขนส่งของประเทศไทยเลยทีเดียว
ไปรษณีย์ไทย: ทำกำไร สวนกระแส “สงครามส่งด่วน”
ขณะที่ผู้เล่นหลายรายประกาศผลขาดทุนหลักพันล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้า ไปรษณีย์ไทยกลับเดินสวนทาง
ย้อนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไปรษณีย์ไทยเคยเผชิญภาวะขาดทุนกว่า 3,000 ล้านบาทแต่ผ่านไปไม่กี่ปีสถานการณ์พลิกผัน ล่าสุดในไตรมาสแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยทำรายได้รวม 5,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% และที่น่าทึ่งคือ กำไรสุทธิสูงถึง 534 ล้านบาท เติบโตถึง 227% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ตัวเลขนี้สะท้อนว่าไปรษณีย์ไทยไม่ได้แค่ “อยู่รอด” แต่กำลัง “เติบโต” อย่างก้าวกระโดดก็ว่าได้

ถามว่าที่กลับมากำไรเพราะอะไร ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด อธิบายว่า การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซคือปัจจัยหนุนสำคัญ โดยเฉพาะ บริการไปรษณีย์ในประเทศที่รายได้เพิ่มขึ้น 20.17% และ บริการขนส่งและโลจิสติกส์ ที่รายได้เพิ่มขึ้น 13.15%
นี่คือข้อพิสูจน์ว่า แม้การแข่งขันจะรุนแรง แต่ไปรษณีย์ไทยก็สามารถบริหารต้นทุนและรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดแข็งที่คู่แข่งยากจะลอกเลียน
ไปรษณีย์ไทยมีข้อได้เปรียบที่ไม่มีใครสู้ได้นั่นก็คือ “เครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ” โดยเฉพาะการมี “พี่ไปร” บุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน และ ที่ทำการไปรษณีย์กว่า 10,000 สาขา ทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นเกาะเล็กๆ ภูเขาสูง หรือชายแดนที่ขนส่งเอกชนอาจมองว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ไปรษณีย์ไทยยังคงเข้าถึง และยังครอบคลุมถึง 205 ปลายทางใน 193 ประเทศทั่วโลก
เรื่องที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ไปรษณีย์ไทย เองก็มีบริการรับพัสดุถึงบ้าน (Pickup Service) ด้วยเพียงแค่แจ้งผ่าน Line Official ก็มีบุรุษไปรษณีย์มารับพัสดุถึงที่ ไม่ว่าจะชิ้นเดียวหรือจะเป็นร้านค้ามีของเยอะก็ไปรับได้ นี่คือการใช้จุดแข็งด้านเครือข่ายมาต่อยอดบริการได้จริง
มีช่องทางค้าปลีก ขายเอง-ส่งเอง
ด้วยจุดแข็งที่ไปรษณีย์ไปถึงทุกที่ทั่วไทย จึงเป็นโอกาสให้ไปรษณีย์ เปิดธุรกิจค้าปลีก เน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Omni-Channel
เน้นตอลสนองความต้องการของลูกค้าในทุกชั้นตอน ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การเลือกซื้อสินค้า การชำระเงิน การจัดส่งสินค้าไปจนถึงการบริการหลังการขาย
ของที่ขายก็มีมากกว่า 20,000 รายการ ตั้งแต่กล่องซองสำหรับผู้ประกอบการ เกษตรกร สินค้าไปรษณีย์ประเภทสินค้าที่ระลึก และสินค้า House brand ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่
มีแพลตฟอร์ม Thailandpostmart ให้บริการไม่ว่าจะใกล้หรือไกลก็ส่งถึงมือแน่นอน
“Digital Post ID” อาวุธลับอนาคตขนส่งไทย
อีกเรื่องที่หลายคนไม่รู้คือ ไปรษณีย์ไทยกำลังเตรียม เทคโนโลยีที่เรียกว่า “Digital Post ID” รหัสประจำตัว 6 ตัวอักษร ที่จะมาปฏิวัติวิธีการการจ่าหน้าพัสดุของคนไทย
Digital Post ID จะช่วยให้ชีวิตคนไทยง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องจ่าหน้าซองยาวๆ อีกแล้ว แค่รหัส 6 ตัวสามารถระบุตำแหน่งรวมถึงบอกพิกัดในแนวตั้งได้ เพื่อรองรับการส่งในอาคารสูง หรือคอนโดมิเนียม นอกจากนี้กรณีที่ย้ายบ้านก็ไร้กังวลเพราะระบบจะอัปเดตข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องแจ้งที่อยู่ใหม่ทุกครั้ง
รหัส 6 หลักยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนตัว และยังเป็นโอกาสทางธุรกิจได้ด้วยเพราะรหัสตัวเลขสวยๆ อาจมีการประมูล สร้างรายได้ใหม่ให้องค์กร เหมือนกับการประมูลทะเบียนรถได้แบบนั้นเลย
แผน “Post Next” เดินหน้าสู่ Information Logistic
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยกำลังก้าวไปอีกขั้น ด้วยแผนงาน “Post Next” ที่จะเริ่มในไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นการพลิกโฉมองค์กรสู่บทบาทใหม่ที่เรียกว่า “Information Logistics”
“Information Logistics” คือการที่ไปรษณีย์ไทยจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการขนส่งสิ่งของทางกายภาพเท่านั้น แต่จะขยายบทบาทไปสู่การเป็น “ผู้ขนส่งข้อมูล” และ “ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” ที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย เทคโนโลยีนี้เสมือนเป็น “ประตู” หรือ “ช่องทาง” ในการเข้าถึงบริการต่างๆของรัฐได้
ภายใต้แผนงานนี้ จะมีบริการสำคัญที่น่าจับตา เช่น Prompt Post บริการระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจรที่จะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ คือ
Digital Postbox นึกภาพว่าเราจะมีกล่องจดหมายดิจิทัลส่วนตัว ที่สามารถรับ-ส่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่าอีเมล์ ไม่ต้องกังวลเอกสารหายหรือข้อมูลรั่วไหล เหมือนมีตู้จดหมายที่บ้าน แต่เป็นแบบออนไลน์และปลอดภัยยิ่งขึ้น
Passport Tracking การติดตามสถานะพาสปอร์ต รวมถึง Prompt Pass จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมออนไลน์ได้รวดเร็วและลดขั้นตอนความยุ่งยาก เหมือนมี “บัตรผ่าน” เดียวที่ใช้ทำเรื่องกับหน่วยงานรัฐได้ง่ายขึ้น
มีแม้กระทั่งระบบ Prompt Vote ระบบการลงคะแนนเสียงออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งาน ปลอดภัย และมีระบบบันทึกผลการลงคะแนนที่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้กับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือทำประชาพิจารณ์ได้
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ไปรษณีย์ไทยกำลังใช้จุดแข็งด้านความน่าเชื่อถือและเครือข่ายเดิม มาต่อยอดในโลกดิจิทัล เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านข้อมูลของประเทศ และอาจทำให้ “ไปรษณีย์ไทย” เป็นผู้ชนะตัวจริงในสงครามส่งด่วน อันดุเดือดก็เป็นได้