พลาด DAAT 2017 ไม่เป็นไร เราจัดให้ครบ! 3 เว็บดัง ชี้ช่องเทรนด์สำคัญด้านดิจิทัล จะต้องจับตาอะไรให้รีบมุง

  • 547
  •  
  •  
  •  
  •  

daat1

งานสัมนาดิจิทัลประจำปี 2560 หรือ DAAT 2017 โดยสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย ที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา เซ็นทรัลเวิลด์ ) จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว ปีนี้มีหัวข้อใหญ่ได้แก่ DIGITAL 4.0 โดยในช่วงบ่าย มีการเสวนาให้หัวข้อ “เทรนด์ล่าสุดทางด้านดิจิทัล” ซึ่งสปีกเกอร์ได้บุคคลสำคัญจาก 3 เว็บไซต์ดังในวงการดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งและวงการโฆษณาจาก ได้แก่ Marketing Oops! Brand Buffet และ Thumbsup

MarketingOops!

daat4

คุณณธิดา รัฐธนาวุฒิ ผู้ก่อตั้ง MarketingOops! ขึ้นมากล่าวในหัวข้อ Digital Marketing Trend ว่า ในอุตสาหกรรม Digital Marketing ณ เวลานี้ ส่วนมากต่างประเทศมักจะกล่าวถึง AI หรือ Machine Learning รวมไปถึงการทำ Content marketing และการใช้ Key Influencers ซึ่งคนไทยเองก็ถือเป็นประเทศที่ค่อนข้างเกาะกระแสเทรนด์โลกอยู่ตลอดเวลา แต่จะมีเพียงเรื่องเดียวที่คนไทยมักจะล้าหลังคนอื่นก็คือเรื่องของ Technology ที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังไม่เก่งเท่าต่างประเทศ

ดังนั้น MarketingOops! จึงมองว่า Best in Class Customer Experience น่าจะเป็นเทรนด์ที่สำคัญของการทำ Digital Marketing ในเวลานี้ไปถึงปีหน้า 2018 เพราะจะเป็นหัวใจหลักในการเข้าถึงและ acquire ลูกค้าใหม่ รวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อรักษาลูกค้าเดิมให้อยู่กับเราเพื่อให้เกิดยอดขาย

สำหรับ Best in class Customer Experience ประกอบไปด้วยเทรนด์ต่างๆดังนี้

  1. Millennials
  2. Technology ในการสร้าง customer experience
  3. ต้องโฟกัสในส่วนของ Data Driven Marketing
  4. Chatbot
  5. Brand Innovation

Millennials

ptuk1

  • Millennials คือกลุ่มคนใช้ Internet หลักของไทย มีพฤติกรรมการใช้ Internet ในแบบ Addicted คือใช้ทุกวัน ตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน และไม่ได้ใช้ธรรมดาแต่สามารถใช้ศักยภาพของ Digital ในการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการใช้ชีวิตพวกเขาด้วยได้ แก้ปัญหาต่างๆ ในแบบที่พวกเราไม่เคยมีมาก่อน
  • คือกลุ่มคนที่เป็นทั้ง Users และ Content creator ในคนเดียวกันได้ และยังนิยมแชร์ Content ที่พวกเขาผลิตเอง ที่สำคัญคือทำได้ดีกว่าสื่อหรือนักการตลาดด้วยซ้ำ และสิ่งที่แชร์ยังมีความน่าเชื่อถือมากกว่าแบรนด์พูดเสียอีก
  • ยินดีที่จะใช้บริการ หรือจ่ายมากขึ้น ถ้าสินค้าหรือบริการนั้นตอบโจทย์ในสิ่งที่เค้าต้องการ เช่น การใช้บริการของ U drink I drive ที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาชีวิตในการเที่ยวกลางคืนได้ บริการที่ดี เมายังไงก็ไว้ใจได้ และที่สำคัญแพงแค่ไหนก็ยอมจ่ายและยังใช้บริการเป็นประจำอีกด้วย
  • คือกลุ่มคนที่เป็น early adopter of technology อันนี้ไม่ได้หมายถึง gadget ใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมา แต่ยังหมายถึงบริการใหม่ๆ ที่ใช้ technology ในการตอบโจทย์ Lifestyle ของพวกเค้าด้วย

“ดังนั้น Millennials ณ วันนี้ สำคัญมาก เพราะพวกเค้าคือ Internet users ของไทย และไม่ใช่ Beginner Users แล้ว นักการตลาดจะต้องประเมินคนกลุ่มนี้ใหม่ และไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่อง generations หรืออายุ แต่ให้สนใจที่ Passions และ Experiences ที่พวกเค้าต้องการ”

DATA Driven Marketing via Technology

ptuk2

เรื่องของ Big DATA ก็มีพูดกันมานานหลายปี แต่เป็นในเชิงของ Profile & Behavior และในเรื่องของ Feedback บน Digital ด้วยการเก็บ DATA ดังกล่าวมาวิเคราะห์เพื่อนำไปต่อยอดการทำการตลาดในอนาคต ซึ่งก็มีหลายองค์กรที่ทำอย่างจริงจัง และยังมีอีกหลายองค์กรที่ยังไม่ได้เริ่มทำเลยก็มี แต่เทรนด์ครั้งนี้จะไม่ได้กล่าวถึง DATA ประเภทนี้ แต่จะขอยกเทรนด์ของการใช้ DATA เพื่อสร้าง Best in Class User Experience มากกว่า ซึ่งจะทำได้ก็ต้องใช้ Technology เข้ามาช่วย Technology ที่จะกล่าวถึงก็คือ Machine Learning, Artificial Intelligence และ The Internet of Things

ทั้ง 3 อย่างนี้ ก็มีการพูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะในกลุ่มของธุรกิจ Startups แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มีการพูดถึง 3 สิ่งนี้ในเรื่องของการทำ Marketing ด้วยเช่นกันโดยเฉพาะที่งาน Cannes Lions ที่ผ่านมา สิ่งที่ได้เห็นคือ บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Alibaba, Tencent, Baidu ได้เริ่มนำ 3 สิ่งนี้มาเป็น tool ในการทำการตลาดแล้ว ส่วนของอเมริกาก็มี IBM Watson, Adobe ที่เข้ามาจับตรงนี้ด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างการใช้ DATA+Machine Learning หรือ AI เพื่อสร้าง Intelligence Assistance ให้กับคนไข้ รพ. Thomas Jefferson University Hospital ที่ช่วยให้การทำงานของพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

httpv://youtu.be/VWCL72V4zEw

ตัวอย่างของการใช้ DATA+Machine Learning หรือ AI เพื่อสร้าง Personalized Experience บน Online Shopping ของ The Northface

httpv://youtu.be/FgBj949_r_w

เทรนด์ของการทำ Best in class Customer Experience จึงจำเป็นที่จะต้องมี 3 เทคโนโลยีนี้เป็นตัวช่วย เพราะ DATA + ML + AI + IOT จะช่วยแก้ปัญหาหลายๆอย่างให้กับลูกค้าได้ ใช้ทำการตลาดแบบ Real time, Right Time ได้ และที่สำคัญ คือสามารถสร้าง Personalized Experience บน platform ของแบรนด์สินค้าได้เช่นกัน

Right Time Marketing

ptuk2

อีกหนึ่งเทรนด์คือการใช้ DATA มาทำ Right Time Marketing (Real time/Near time) ทั้งนี้ Right time marketing หมายถึงการมี DATA ทั้งของลูกค้า หรือ target audiences + DATA ของ Environment เพื่อสร้าง Realtime/Right Marketing ที่สามารถแก้ปัญหา สร้างความสุข ให้กับลูกค้า และ Convert ยอดขายในเวลาเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น ในตอนฝนตกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าน ติดฝนแล้วกลับบ้านไม่ได้ รถติดนั่งในรถ เป็นต้น สมมติว่าเราได้เก็บ DATA ของลูกค้าหรือ prospect และมี DATA ของ Environment รอบตัวอยู่แล้ว เราสามารถตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงเวลานั้นได้อย่างไร เรามีโอกาสในการสร้างยอดขายได้อย่างไร ถ้าเป็น UBER จะส่งโปรพิเศษเลยไหม ถ้าเป็นโรงหนังจะมีแอดอะไรยิงเข้าไป ร้านขายร่มในห้างส่งโฆษณาอะไรได้บ้าง ฯลฯ แบรนด์จะสามารถใช้ data ตรงนี้สามารถส่ง key message ไปทางช่องทางต่างๆ ได้ทั้ง SMS, Real time ad manager, Social Media ฯลฯ

Chatbot

ptuk4

ในอนาคต เราจะได้เห็นหลายๆแบรนด์ใช้ Chatbot ในการทำ Customer service เพื่อเป็นช่องทางแนะนำสินค้า บริการ และรับ feedback ทั้งทางเว็บไซต์ LINE และ Facebook เป็นต้น เมื่อก่อน BOT จะไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ทุกเรื่อง ทำให้หลายๆ ครั้ง ลูกค้าได้คำตอบที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เกี่ยวข้อง

แต่ Chatbot ในยุคนี้จะมาพร้อมกับ AI ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จนทำให้ลูกค้าไม่สามารถรู้ได้ว่ากำลังคุยกับคน หรือคุยกับ Bot ทั้งนี้ Machine Learning จะไม่โปรแกรมคีย์เวิร์ดแต่จะทำให้ BOT เข้าใจภาษามนุษย์และสามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ด้วยการถามตอบและหาคำตอบในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้

ข้อดีของ Chat bot คือ ทำงานได้ตลอด 24 ชม.ไม่มีหลับ ไม่ต้องให้เราคอย สามารถ personalized ประสบการณ์ของผู้บริโภคได้เลย สามารถสร้างความสัมพันธ์และเป็นมิตร และที่สำคัญไม่มีอารมณ์เสียไม่หงุดหงิด

อย่างไรก็ตาม แม้ Chatbot จะฉลาดขนาดไหนก็ไม่สามารถแย่งตำแหน่งงานของ Customer service ได้ โดยเฉพาะเมื่อลูกค้า complain เนื่องจาก  Chatbot จะสามารถหาคำตอบให้ได้ระดับหนึ่ง แต่เมื่อ Chatbot รับรู้ถึงความไม่พอใจของลูกค้า ก็จะส่งต่อสายให้คุยกับ Customer support อยู่ดี

“และทั้งหมดนี้ถ้าทุกแบรน์เข้าใจ Customer Experience ได้ดี แบรนด์ของคุณจะ Coolและ Millennials จะเลิฟแบรดน์ของคุณ”

Brand Buffet

daat2

คุณรัสรินทร์ อรุณอิทธิวิทย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและบรรณาธิการ Brand Buffet ซึ่งได้ขึ้นมากล่าวในหัวข้อ Advertising Trend โดยระบุว่ามี 4 เทรนด์ที่สำคัญ ได้แก่

  1. Brand Purpose
  2. Power of Social Media
  3. Content and Platform Disruption
  4. Big Data

Brand Purpose

คุณรัสรินทร์ กล่าวว่า ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยปัญหาสังคม ตั้งแต่ปัญหาระดับโลกไปจนถึงในระดับโลคอล ซึ่งปัจจุบันผู้คนก็เริ่มสนใจและตระหนักในปัญหาต่างๆ รอบตัว เช่น เหตุการณ์ชาร์ล็อตต์วิลล์ ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากการไปร่วมงาน Cannes Lions ที่ฝรั่งเศส พบว่า มีการหยิบยกประเด็นทางสังคมเหล่านี้มาสร้างสรรค์งานโฆษณามากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย

ดังนั้น เทรนด์โฆษณานับจากนี้และไปข้างหน้าในอีก 2-3 ปี ก็คือการที่แบรนด์จะต้องนำเสนอว่าจะสามารถเข้าไปช่วยผู้บริโภคและช่วยสังคมได้อย่างไร และทำไมผู้บริโภคถึงต้องเลือกใช้สินค้าของแบรนด์นั้น

เช่นโฆษณา Always #LikeAGirl ของ P&G ที่พูดถึงความมั่นใจของผู้หญิง และสนับสนุนห้ผู้หญิงเรียนรู้กับความผิดพลาดได้

httpv://youtu.be/P_MhsbRiFyI

ซึ่งคล้ายกับแคมเปญ Fearless Girl ที่สนับสนุนความกล้าหาญของผู้หญิง

daat55

แคมเปญที่พูดถึงเรื่องการเหยียดเชื้อชาติอย่างของ EDEKA Supermarket โดยนำเสนอว่าหากเราอาหารหรือสินค้าที่ไม่ใช่ชนชาติเราออกจากชั้นวางของแล้วเราจะเหลืออะไรบ้าง

daat22

แคมเปญที่พูดเรื่องผู้อพยพ เช่น words of welcome และ Refugee Nation เมื่อผู้อพยพไม่มีสัญลักษณ์ประจำชาติหรือแม้แต่ธงชาติประจำตัว

daat33 daat11

2.Power of Social Media

คน Gen Z เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี เด็กๆ ยุคนี้เกิดมาก็เป็น tech savvy กันเลย และถูกสั่งสมให้อยู่กับโซเชียลมีเดีย จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าซื้อสินค้าเพื่อโชว์เพื่อนข้างๆ ดังนั้น ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าคุณค่าของสินค้าไม่ได้อยู่ที่คุณภาพ แต่อยู่ที่ว่าคุณสามารถนำมาโชว์เพื่อนในโซเชียลฯ ได้หรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่ากลุ่ม Millennials ยกให้โซเชียลมีเดียเป็นแหล่งข้อมูลอันดับ 1 และเป็นพื้นที่ที่ขาเชื่อถือมากอีกด้วย จึงเป็นที่มาของการเกิด Micro-Influencer จนเกิดเป็นคำถามว่าออนไลน์ อินฟลูเอนเซอร์นั้นเป็นฟองสบู่หรือเปล่า และแบรนด์ได้อะไรจริงๆ จากตรงนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวก็ยังมองว่า ออนไลน์อินฟลูเอ็นเซอร์น่าจะยังอยู่กับตลาดไปอีกนานทีเดียว

ดังนั้น ในเมื่อแบรนด์ทราบแล้วว่าคนรุ่นใหม่ชอบโซเชียลฯ แล้วแบรนด์จะทำอะไรได้บ้าง ยกตัวอย่าง แบรนด์ร้านเสื้อผ้าอย่าง Primark ที่ออกแบบห้องลองเสื้อผ้าด้วยการจัดเซ็ทแสงอย่างดีสวยงาม เหมาะกับการถ่ายภาพเซลฟี่ เมื่อลองเสื้อจากที่ร้านแล้วสามารถ่ายเซลฟี่ออกไปอวดเพื่อนได้ด้วย ก็เป็นอีกงานที่รู้จักการนำโซเชียลมีเดียมาใช้ได้ดี

daat44

3. Content and Platform Disruption

ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้เราเห็นวงการการเงินรุกตลาดอย่างหนักมาก เริ่มท้าทายในธุรกิจมากขึ้น หรือแม้แต่เรื่องการสร้างคอนเทนต์ของตัวเอง ที่ดิสนีย์ตัดสัมพันธ์กับ Netflix เฟซบุ๊กประกาศเตรียมสร้างคอนเทนต์ออริจินัล แอปเปิ้ลประกาศทำคอนเทนต์เอง เหล่านี้มันคือ OTT ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการบริโภคสื่ออย่างชัดเจน

คำถามคือผู้ผลิตคอนเทนต์เหล่านี้จะมีช่องทางโฆษณาตัวเองผ่านโซเชียลมีเดียอย่างไร จุดนี้เห็นได้ว่าเวิร์คพ้อยท์ทำได้ดีมากกับการที่ tie-in สินค้าในช่วงที่มีการถ่ายทอดโฆษณาในเวลาปกติ แต่เวิร์คพ้อยท์ก็สามารถหาคอนเทนต์มาใส่ได้ในช่วงว่างนั้นในรายการ The Mask Singer

“ปัจจุบันนี้โฆษณาและเม็ดเงินโฆษณาของเราอยู่บนโซเชียลมีเดียเยอะมาก ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำคือการปรับตัวไปตามโซเชียลมีเดียให้ เราต้องหมุนไปตามแพลทฟอร์ม ก่อนหน้านี้ เราทำงานดิจิทัลทำสิ่งพิมพ์ก่อน แล้วปรับตัวไปตามโซเชียลมีเดีย เพราะฉะนั้นงานดูแลเฟซบุ๊ก ให้ลูกค้ารับคนเท่าไหร่ก็ไม่พอ จากเดิมโพสต์แค่รูป อยู่ดีๆ ถูกบังคับให้เป็นวิดีโอ สิ่งทีอ่ยากจะบอกคือเราพร้อมกับการปรับตัวตรงนั้นหรือยัง”

ในการปรับตัวนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เราต้องพบ กับโฆษณาเพียงแค่ 6 วินาที เพื่อที่จะแกรบคนดูให้ได้ นั่นหมายความว่าเราต้องปรับตัวเพื่อคว้าความสนใจคนให้ได้ เพื่อหมุนไปตามแพล็ทฟอร์ม

4.Big Data

เดิมทีเรามักจะมอง Big Data ว่าเป็นเพียงการบริหารจัดการแพลทฟอร์มหลังบ้านเท่านั้น หรือการนำเอา data มาสร้างสรรค์แคมเปญ แต่วันนี้มันใหญ่กว่านั้นไปแล้ว มันคือการนำเอา Big Data ผสานกับเทคโนโลยีแล้วสร้างเป็นแคมเปญที่น่าสนใจใหม่ๆ ได้ เช่นแคมเปญ LED running track เพื่อโปรโมท The Luna Epic โดยการนำชิพผูกกับเชือกรองเท้าแล้วให้เกิดการแข่งวิ่งกับตัวเอง หรือการที่ Snicker รวบรวมดาต้าอารมณ์ไม่ดีของคนทั้งออสเตรเลีย ว่าถ้าเกิดคนออสเตรเลียอารมณ์เสีย Snicker ก็จะทำการลดราคาทันที เป็นต้น

httpv://youtu.be/F67V5J40hv8

Thumps Up

daat3

คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ ผู้ร่วมก่อตั้ง Thumbsup กล่าวถึง Digital Trend ที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ Blockchain ซึ่งเธอย้ำว่าไม่ใช่เรื่องอันไกลแต่จะเกิดขึ้นในเร็วนี้ โดยระบุ ว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจได้จริง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่วงการ Fintech เท่านั้น แต่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการตลาด Adtech, Content และ CRM

ทั้งนี้ Blockchain เหมือนกับแอดเน็ตเวิร์ค ที่มีความน่าเชื่อถือเพราะไม่มีคนกลาง และการเก็บข้อมูลนั้นก็ไม่ได้เก็บที่ใดที่หนึ่งด้วย ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยของข้อมูลสูงมาก มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้

คุณอรนุช ยกตัวอย่างกรณีของโปรแกรมมาติกบน Ad market ซึ่งหลายแพลทฟอร์มกำลังถูก disrupt ดังนั้น blockchain จะเข้ามาช่วยแก้ไขในเรื่องความโปร่งใส การติดตามเงินได้ และลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่าง BAT ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มที่จะช่วยในการเชื่อมโยงพับลิชเชอร์และแอดเวอร์ไทเซอร์ให้เจอกัน โดยจุดสำคัญคือช่วยให้การจ่ายเงินเกิดความคุ้มค่าที่สุด โดยมีการส่งเงินเสมือนผ่านบนโลกดิจิทัลอีกทีหนึ่ง แต่การที่จะโอนให้กันอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ลประเทศ

อีกเคสคือการใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยพบว่าคนจีนส่วนใหญ่กลัวเรื่องอาหารปลอม และอาหารมีสิ่งปลอมแปลงเยอะมาก ดังนั้น JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่อีกเจ้าของจีน จึงได้ติดข้อมูลทุกอย่างของเนื้อพร้อมกับให้แสกนข้อมูลเกี่ยวกับที่มาทุกๆ อย่างแบบละเอียดยิบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เนื้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค เป็นข้อมูลตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจมาก ที่สำคัญคือช่วยอีโคซิสเท็มของธุรกิจด้านอาหารอีกด้วย เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อผลิตอาหารได้

คุณอรนุช ยังยกตัวอย่าง การเข้าไปยังธุรกิจดนตรีและคอนเทนต์ว่า ศิลปินส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องโดนโกง ถูกละเมิดลิขสิทธิ์บ้าง ดังนั้น เทคโนโลยีจะช่วยในการแทร็กติดตามาได้ว่าผลงานของเราถูกกระจายไปส่วนไหนบ้าง โดยมีแพล็ทฟอร์มที่ถูกสร้างบนบล็อกเชน เช่น MUSE ที่พัฒนาไอดีไปฝังและผูกกับเพลงทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการนำเพลงนั้นไปเล่น ศิลปินก็จะรู้และยังสามารถรับเงินได้อีกด้วย หรือแพลทฟอร์ชื่อว่า RAKUGO ที่ช่วยให้นักเขียนคอนเทนต์บนแพล็ทฟอร์มติดตามได้ว่าบทความของคุณกระจายไปที่ไหนบ้าง ด้วยการแทรกไอดีลงไปเพื่อทำการแทร็ก ที่สำคัญคือจะช่วยกระจายลิขสิทธิ์ของคนเขียนได้ด้วย

ความเสี่ยง

จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งด้านพลังงาน ธุรกิจ อสังหาฯ ธนาคาร ทุกภาคส่วนเริ่มตระหนักในเรื่องเทคโนโลยี มีผู้เล่นใหม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น วันนี้อาจจะบอกไม่ได้ว่า Blockchain จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง หรือจะเข้ามาเปลี่ยนวงการหรือไม่ เราไม่รู้เลย ซึ่งอันที่จริงแล้ว Blockchain อาจจะถูกแปลงร่างเป็นอย่างอื่นก็ได้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะทุกวันนี้ Blockchain ค่อนข้างมีปัญหาในเรื่องความมั่นคง เร็วเกินไป และ Low adoption ทำให้ยังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากให้ตระหนักก็คือ แม้แต่เทคโนโลยีที่เรากำลังตื่นเต้นอยู่นั้น ซึ่งอยู่ในขั้นของการพัฒนา ยังจะต้องก้าวข้ามผ่าน Chasm (เหว) ซึ่งคงต้องจับตาต่อไปว่า Blockchain จะสามารถก้าวผ่านช่วง Early Majority ได้หรือไม่ แต่บางคนอาจจะมองว่าบางทีอาจจะอีโวลูชั่นไปเลยก็ได้ มันอาจจะก้าวไปไกลแบบติดสปีด และพัฒนาให้ดีกว่าเดิมแบบติดสปีดเลยก็อาจจะเป็นได้

“ไม่อยากให้โฟกัสแค่เทคโนโลยี แต่อยากให้โฟกัสที่ดิสรัปทีฟเทคโนโลยีมากกว่า วันนี้คุณเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังถูกรุมตอดด้วยผู้เล่นรายเล็กๆ มากมายรายล้อมอยู่หรือไม่”

Copyright © MarketingOops.com


  • 547
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!