เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า “ลุยก่อนได้เปรียบ” อยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาทำธุรกิจ ซึ่งคำนี้เป็นที่นิยมมาจากโรงเรียนธุรกิจสแตนฟอร์ด ซึ่ง “ลุยก่อนได้เปรียบ” หมายถึงการเป็นธุรกิจเจ้าแรกที่เข้าสู่ตลาดหรืออุตสาหกรรมนั้น ทำให้เราได้เปรียบกว่าคู่แข่ง
แต่สตาร์ทอัพต้องลุยก่อนได้เปรียบถึงจะประสบความสำเร็จจริงหรือ? นี่คือเหตุผล 3 ข้อที่บอกเราว่า มันไม่จริงเสมอไปหรอก
1. ไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป แต่ต้องแตกต่างและดีกว่า
ลุยก่อนได้เปรียบจริงๆหรือ? คิดไปเองมากกว่า กว่าร้อยละ 47 ของบริษัทที่ลุยก่อนนั้นล้มเหลวในช่วงปีแรกๆของการทำธุรกิจ มีเพียงแค่ร้อยละ 8 เท่านั้นที่เรียนรู้และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ อย่าง Facebook ที่บุกสื่อสังคมออนไลน์ทั้งๆที่เริ่มธุรกิจหลังจาก MySpace และ Google ที่ทำเสิร์ชเอนจิ้นตามหลัง Archie บริษัทพวกนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่มีอิทธิพลต่อวงการสตาร์ทอัพ
ฉะนั้นจำไว้ว่า “เราไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งหรอก แต่เราต้องแตกต่างและดีกว่า”
2. ไอเดียแรกของเราไม่ใช่และไม่เคยเป็นไอเดียที่ดีที่สุด
คนเรามักสับสนระหว่าง “สงสัยในตัวเอง” และ “สงสัยในไอเดีย”
“สงสัยในตัวเอง” คือการเชื่อว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้ แต่ “สงสัยในไอเดีย” คือการถามตัวเองว่าไอเดียของเรามันคุ้มค่ากับเวลาของเราหรือไม่ ฉะนั้นถ้าจะทำให้ไอเดียนี้คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ก็ต้องหาทางพัฒนาไอเดียให้ดีขึ้นอย่างเดียว เพราะปรกติแล้วไอเดีย 15-20 ไอเดียแรกนั้นเป็นไอเดียไร้ค่า เพราะเรายังยึดติดกับข้อสมมติเดิมๆอยู่ ดังนั้นแทนที่จะสงสัยในชีวิตตัวเอง เอาเวลามาสงสัยไอเดียของเรา ตรวจสอบมันอย่างละเอียดดีกว่า
3. อย่ากลัวที่จะโยนไอเดียเดิมๆของตัวเองทิ้งไป
จุดอ่อนพวกต้นตำหรับคือกลัวที่จะลองผิดลองถูก ลองทำในสิ่งใหม่ๆ จะเอาชนะจุดอ่อนนี้ได้ ต้องพยายาม ทุ่มแรงกายแรงใจให้ถึงที่สุด ลองดูจำนวนผลงานชิ้นโบว์แดงของจิตรกรอย่างโมสาร์ท บีโธเฟ่น แบคท์มีอยู่น้อยนิดเทียบกับผลงานทุกชิ้นที่พวกเขาทำ ฉะนั้นยิ่งคุณสร้างผลลัพธ์ออกมาได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะทำผลงานชิ้นโบว์แดงก็มีมากขึ้นเท่านั้น
ผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์ที่สุดจะไม่กลัวที่จะคิดและโยนไอเดียของตัวเองทิ้งจนกว่าจะหาไอเดียที่ลงตัวกับสินค้าที่สุดที่สำคัญ อย่าลืมว่าปัจจัยชี้เป็นชี้ตายให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จไม่ใช่ความสามารถในการควบคุมทุกอย่าง หรือทำสินค้าที่ไม่มีใครคิดได้ แต่เป็นจังหวะเวลาที่มีผู้บริโภคมากพอและพร้อมแล้วจริงๆสำหรับสินค้าและบริการของเรา ซึ่งต้องวิเคราะห์และใช้สัญชาตญาตรับรู้จังหวะเวลาที่ว่าด้วย
อยากรู้ว่าทำไมจังหวะเวลาถึงได้สำคัญกับสตาร์ทอัพนัก คลิกที่นี่เลย