เปิด 3 โรค ยอดฮิตความเชื่อที่ผิดใช้ยาปฏิชีวนะ หมอเตือนเสี่ยงเป็น “เชื้อดื้อยา” สสส.-กพย.-สธ.พัฒนาเครือข่ายใช้ยาปฏิชีวนะถูกโรคถูกวิธี

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

[ข่าวประชาสัมพันธ์]

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ร่วมกับ ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดแถลงข่าวสัปดาห์รู้รักษ์ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย ประจำปี 2559 เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะที่ผ่านมา โดยองค์การอนามัยโรคกำหนดให้ระหว่างวันที่ 14-20 พ.ย. 59 เป็นสัปดาห์รู้รักษ์ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย

pr1

ดร.นพ.บัณฑิต ศรไพศาล รองผู้จัดการ สสส. กล่าวว่า ในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาอย่างน้อยปีละ 20,000-38,000 คน ซึ่งมากกว่าผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุการขนส่ง และยังส่งผลให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาต้องอยู่ในโรงพยาบาลโดยรวมนานขึ้น 3.24 ล้านวัน หรือเฉลี่ยคนละ 24-46 วัน สาเหตุที่ทำให้คนไทยมีผู้ป่วยเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นมาจากพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สมเหตุสมผล โดยพฤติกรรมที่มีส่วนทำให้เกิดเชื้อดื้อยา เช่น ซื้อยาปฏิชีวนะกินตามคนอื่น หยุดรับประทานยาปฏิชีวนะเมื่อมีอาการดีขึ้น ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองตามที่เคยได้รับจากแพทย์ครั้งก่อนๆ ใช้ยาอมที่ผสมยาปฏิชีวนะ สสส.จึงสนับสนุน กพย.ในการพัฒนาชุดความรู้และเครือข่ายเฝ้าระวังเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนสนับสนุนการขับเคลื่อนการดื้อยาต้านจุลชีพตามแผนยุทธศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกร่วมกับประเทศต่างๆ และในปีนี้ได้เสริมทัพการทำงานด้วยการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน บุคลากรทางการแพทย์และเภสัชกร ด้วยการจัดทำสื่อให้ความรู้เกี่ยวกับเชื้อดื้อยาที่เข้าใจง่าย เช่น หยุด 10 พฤติกรรมที่มีส่วนทำให้เกิดเชื้อดื้อยา รวมถึงชุดความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะที่ถูกโรคถูกวิธี โดยสามารถดูรายละเอียดได้ที่ http://atb-aware.thaidrugwatch.org และ https://www.facebook.com/thai.antibiotic.awareness

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวว่า เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกโรค ไม่ถูกวิธี ได้สร้างปัญหาเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นจนอาจถึงขั้นวิกฤต กพย.จึงทำงานตรงไปที่บุคลากรทางการแพทย์และเภสัชกรในการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลในโรงพยาบาลชุมชน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด มากกว่า 30 จังหวัด รวมถึงในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล พร้อมกับสนับสนุนการวิจัยผู้ป่วยหวัดและท้องเสียในเด็ก ซึ่งพบว่ายาต้านแบคทีเรียไม่มีผลกระทบต่อการรักษาและได้ผลที่ดีกว่า การทำงานร่วมกับเครือข่ายเภสัชกรรมชุมชนในการให้คำแนะนำกับผู้บริโภค รวมถึงการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้จัดอบรมบุคลากรภายในสถาบัน เช่น อาจารย์แพทย์ แพทย์ประจำบ้าน นักศึกษาแพทย์ เภสัชกร ถึงทักษะในการสื่อสารเมื่อถูกผู้ปกครองกดดันให้ใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาเด็กโดยไม่จำเป็น และมีการทำพื้นที่ตัวอย่างชุมชนปลอดภัยห่างไกลยาต้านแบคทีเรียในร้านชำ ร่วมกับผู้นำชุมชน อสม. และโรงเรียน ในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี และอ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ ทำให้ภาพรวมในขณะนี้มีความตื่นตัวมากขึ้นทั้งในประชาชน แพทย์และเภสัชกร

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) และ RDU Hospital Project กล่าวว่า ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากยังคงสั่งยาต้านแบคทีเรียให้กับ 3 โรคที่รักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ 1.โรคหวัด ไอ เจ็บคอจากไวรัส 2.ท้องร่วงและอาหารเป็นพิษ และ3.บาดแผลทั่วไป ทำให้ประชาชนมีความเชื่อที่ผิดว่าโรคเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียหรือยาแก้อักเสบ สยส.จึงรณรงค์ให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องว่า การใช้ยาปฏิชีวนะหรือที่เรียกกันอย่างผิดๆว่ายาแก้อักเสบในโรคติดเชื้อไวรัส ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่โทษ และเน้นรณรงค์เพื่อแก้ไขความเชื่อที่ผิด เช่น “น้ำมูกเหลืองเขียวหมายถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย” “เมื่อไม่สบายแม้เพียงเล็กน้อยก็ซื้อยาแก้อักเสบมากินกันไว้ก่อน” หรือ “ไข้สูง ปวดเมื่อยมากควรฉีดยา” ซึ่งล้วนส่งผลซ้ำเติมปัญหาเชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล หรือ RDU Hospital เพื่อปรับลดอัตราการสั่งยาปฏิชีวนะใน 3 โรคข้างต้นของบุคลากรทางการแพทย์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เช่นสั่งยาปฏิชีวนะได้ไม่เกิน 2 ใน 10 ราย กรณีโรคหวัดและท้องร่วง เป็นต้น ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนความรู้และความเชื่อทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการเพื่อแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยาของประเทศ

[ข่าวประชาสัมพันธ์]


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •